UOBAM เก็ง SET สิ้นปีนี้ 1,350-1,400 จุด เชื่อ Fund Flow ยังเข้ารับดอลลาร์อ่อน-ดอกเบี้ยขาลง

นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บลจ.ยูโอบี(ประเทศไทย) หรือ UOBAM กล่าว่า มองกรอบดัชนี SET สิ้นปีนี้ที่ 1,350-1,400 จุด โดยรวมปัจจัยที่ไทยจะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ไว้แล้ว และหุ้น SET50 ก็ยังเป็นที่น่าสนใจของ Fund Flow แนะนำกลุ่มพลังงานและค้าปลีก ส่วนกลุ่มแบงก์อาจยังมีประเด็นดอกเบี้ยขาลงกดดันอยู่

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมา Perform ได้ดี จากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะประเด็นที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ และดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามา Emerging Market รวมถึงไทย คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าไทยใน 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ราว 5 พันล้านบาท จากที่เข้ามาแล้ว 2-3 พันล้านบาทหลังการเมืองมีความชัดเจน

บลจ.ยูโอบี มองว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้เฟดน่าจะปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในการประชุมทั้ง 3 ครั้งๆ ละ 0.25% และในปี 69 จะปรับลดอีก 2-3 ครั้งลงไปที่ 3%

ขณะเดียวกันก็คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ 1.25% และคาดว่าในปี 69 จะปรับลดอีก 0.50% ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 0.75%

ทั้งนี้ ประเมิน GDP ไทยปี 68 คาดเติบโต 1.8-2.0% จากครึ่งปีแรกโต 3% จากการเร่งส่งออก แต่ในครึ่งปีหลังคาด GDP โตเพียง 1.2% ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้เติบโตน้อยกว่าปีก่อนที่มี 35 ล้านคน คาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนราว 5% แต่หากนักท่องเที่ยวจีนเติบโตจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคท่องเที่ยว

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังนโยบายภาษีของสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการลงทุนภาครัฐ และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล จะเป็นปัจจัยสำคัญในการประคับประคองการเติบโตภายในประเทศ ผสานกับนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดทุน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกดดันที่ต้องติดตาม เช่น ระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังสูง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังต้องใช้เวลา

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ภายหลังจากสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงด้านภาษีกับประเทศต่างๆ ในอัตราที่ต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้มาก รวมถึงผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อน้อยกว่าที่คาดไว้มาก โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป (Soft landing) ปัจจัยสนับสนุนหลักจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง (The One Big Beautiful Bill) และแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากเฟดเพื่อลดความเสี่ยงของการชะลอตัวในตลาดแรงงาน ในขณะที่ผลกำไรของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่สหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งจากการลงทุนใน Generative AI ดังนั้น หุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่าจะมีมูลค่าที่แพงกว่าภูมิภาคอื่น แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตได้

นายณัฐพล กล่าวว่า หลายคนอาจจะกังวลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีหนี้ระดับสูงมาก แต่ตลาดสหรัฐเป็นตลาดที่มี Productivity สูง ที่มาจากกลุ่ม AI ธุรกิจใหม่ที่เป็น Long-term Growth ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐที่ก่อนหน้ากังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย แต่วัฎจักรเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นปัจจุบันไม่ได้อยู่ในตำราแล้ว เพราะความจริงวัฎจักรเศรษฐกิจสหรัฐมีรอบระยะสั้นๆ ไม่ใช่ระยะยาว ดังนั้น จึงไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางได้ และแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีสัญญาณชะลอตัวแต่สหรัฐยังมีกระสุนมากพอที่จะรองรับไม่ให้เกิดสถานการณ์ถดถอย โดยยังมีดอกเบี้ยอยู่ระดับ 4% จึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงทำนิวไฮได้ โดยเฉพาะธีมกลุ่ม AI

อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญที่รอติดตามกันอยู่คือเส้นทางเงินเฟ้อ (inflation) ถ้าขึ้นไปสูงแรงๆก็กดดันตลาดหุ้นได้ แต่เป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ (Tariff) โดยคาดว่าจะเกิดในไตรมาส 4 ปีนี้หรือไตรมาส 1/69

สำหรับเศรษฐกิจในยุโรปยังคงมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นภายหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างต่อเนื่อง และการกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวที่ดีอาจทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรปมีปริมาณที่ลดลงในช่วงที่เหลือของปี

ด้านภูมิภาคเอเชีย เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นเดียวกัน โดยประเทศญี่ปุ่นมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับปานกลางจากการบริโภคภายในประเทศ แต่มีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากตลาดแรงงานที่ตึงตัว ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศจีนยังคงมีความเปราะบางจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ ส่งผลให้การประชุมรัฐบาลจีนล่าสุด ยังคงมีความจำเป็นจะต้องออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักต่อตลาดหุ้นจีนและเอเชีย

บลจ. ยูโอบี แนะนำกระจายการลงทุนในต่างประเทศ โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารทุนของสหรัฐฯ และตราสารหนี้ แนะจัดพอร์ตลงทุนความเสี่ยงปานกลางคาดได้รับผลตอบแทน 6-8% โดยถือตราสารหนี้ 60% และหุ้น 40% แบ่งเป็นหุ้นเทคสหรัฐ 20% อีก 20% แนะลงทุนหุ้นจีน อินเดีย และไทย แนะให้เล่นเป็นรอบ นอกจากนี้ให้ถือทองคำในพอร์ตประมาณ 10%

คัดกองเด็ดโกยเข้าพอร์ต

นายกุลฉัตร จันทวิมล กรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) ได้ให้คำแนะนำทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุน เพื่อรองรับวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกันของผู้ลงทุนดังนี้

1. เพื่อบริหารสภาพคล่องหรือต้องการลงทุนในระหว่างรอจังหวะการลงทุน กองทุนแนะนำได้แก่

  • กองทุนเปิด ไทย แคช แมเนจเม้นท์ (TCMF-M) หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป และกองทุนเปิด ไทย แคช แมเนจเม้นท์ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนนิติบุคคล (TCMF-I) ระดับความเสี่ยง 1 (เสี่ยงต่ำ) ที่มีนโยบายมุ่งลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ และ/หรือเงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ทั้งภาครัฐ และ/หรือภาครัฐวิสาหกิจ ที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก
  • กองทุนเปิด ยูไนเต็ด อินคัม เดลี่ อัลตร้า พลัส ฟันด์ (UIDPLUS) ระดับความเสี่ยง 4 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก ทั้งในประเทศและ/หรือต่างประเทศ
  • กองทุนเปิด ไทย ตราสารหนี้ (TFIF) ระดับความเสี่ยง 4 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝาก ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ/หรือภาคเอกชน ที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก

2.เพื่อกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ทั่วโลก และรับความผันผวนได้ปานกลาง กองทุนแนะนำได้แก่

  • กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UGIS-N) และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ เอฟเอ็กซ์ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UGISFX-N) ระดับความเสี่ยง 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund (Class I) เพียงกองทุนเดียวโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระแสรายได้ในระดับสูงโดยการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ และมีวัตถุประสงค์ในการสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว

3.เพื่อโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และรับความผันผวนได้ปานกลาง กองทุนที่แนะนำ ได้แก่

  • เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ อินคัม ฟันด์ TH หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UIFT-N) ระดับความเสี่ยง 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก United CIO Income Fund – Class T USD Acc เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทั่วโลก
  • เพื่อสร้างโอกาสเติบโตของเงินลงทุน : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ โกรท ฟันด์ TH หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (UGFT-M) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก United CIO Growth Fund – Class T USD Acc โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุนหลักกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทั่วโลก
  • เพื่อโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มการเติบโต : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์ (UUSA-M) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก JPMorgan Funds – US Growth Fund Class I (acc) – USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
  • เพื่อโอกาสการลงทุนในตราสารทุนสหรัฐฯ : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส เทคโนโลยี อิควิตี้ ฟันด์ (UUSTECH) ระดับความเสี่ยง 7 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก JPMorgan Funds – US Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน JPM US Technology I (acc) – USD เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเติบโตของเงินทุนในระยะยาว โดยเน้นการลงทุนตราสารทุนของบริษัทในประเทศสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะด้านเทคโนโลยี สื่อ และบริการ ด้านการสื่อสาร)

4.สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในระยะกลาง-ยาว ในหุ้นกลุ่มคุณภาพดีและเติบโตสูง กองทุนที่แนะนำ ได้แก่

  • กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล ดูเรเบิ้ล อิควิตี้ ฟันด์ (UGD) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก United Global Durable Equities Fund – Class USD ACC เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มั่นคงที่ให้กำไรทบต้นอย่างสม่ำเสมอแก่ผู้ลงทุนโดยมีระดับความผันผวนของผลตอบแทนที่ต่ำกว่าระดับ ค่าเฉลี่ยของบริษัททั่วไป และลงทุนในตราสารทุน หรือหลักทรัพย์อื่นๆ รวมถึงตราสารที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนที่จดทะเบียนและซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก
  • กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อิควิตี้ แอบโซลูท รีเทิร์น (UGEAR) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) – กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก Jupiter Merian Global Equity Absolute Return Fund (Class I USD Accumulation) กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อมุ่งสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวก (absolute return) )

5.โอกาสการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศ หรือสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อกระจายความเสี่ยง กองทุนที่แนะนำ ได้แก่

  • กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล ซัสเทนเนเบิล อินฟราสตรัคเจอร์ อิควิตี้ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UINFRA-N) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) ตราสารทุนต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก และมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน โดยกระจายการลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
  • กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท โกลด์ ฟันด์ – H (UOBSG-H) ) ระดับความเสี่ยง 8 (เสี่ยงสูงมาก) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก SPDR Gold Trust ที่เน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับราคาทองคำในตลาดโลกหักกับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุน โดยกองทุนจะลงทุนในกองทุนหลักที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้ อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 68)