
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 1% ในวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่นักลงทุนประเมินท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
- ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 39.5 ดอลลาร์ หรือ 1.06% ปิดที่ 3,678.3 ดอลลาร์/ออนซ์
คณะกรรมการเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธ ส่วนในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ภายสิ้นปีนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2570
อย่างไรก็ดี เฟดส่งสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงของเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในในอนาคต โดยเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับลดเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อตอบสนองต่อตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง เนื่องจากการจ้างงานมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเผชิญภาวะขาลงเมื่อเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงต้องมีการประเมินและต้องควบคุม
ปีเตอร์ แกรนท์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Zaner Metals กล่าวว่า ตลาดมีความสับสนเกี่ยวกับความเห็นของพาวเวลที่ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยง และความไม่แน่นอนดังกล่าวได้กระตุ้นให้เกิดการเทขายทำกำไร
อย่างไรก็ดี แกรนท์เชื่อว่า แนวโน้มในระยะยาวของทองคำยังคงเป็นขาขึ้น และการที่ราคาทองปรับตัวลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นั้น เป็นเพียงการปรับฐานตามธรรมชาติ โดยเขายังเชื่อว่าราคาทองมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์”
นักวิเคราะห์จาก SP Angel กล่าวว่า ปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาทองคำในขณะนี้คือการที่ธนาคารกลางของประเทศกลุ่ม BRIC เข้าซื้อทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงในระบบทุนสำรองที่นอกเหนือไปจากสกุลเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน และคาดว่าทิศทางดังกล่าวจะยังดำเนินต่อไป
นอกจากนี้ มีรายงานว่า การส่งออกทองคำจากสวิตเซอร์แลนด์ไปยังจีนในเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นถึง 254% เมื่อเทียบกับเดือนก.ค.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ก.ย. 68)