โดรนปริศนาป่วนน่านฟ้าเดนมาร์ก ปิดสนามบินแห่งที่ 2 ในรอบสัปดาห์ ชี้อาจโยงรัสเซีย

เดนมาร์กสั่งปิดสนามบินเป็นแห่งที่ 2 ในรอบสัปดาห์ เมื่อคืนวันพุธ (24 ก.ย.) หลังพบโดรนปริศนาหลายลำบินป่วนน่านฟ้า โดยล่าสุดคือสนามบินออลบอร์ (Aalborg) ที่รองรับทั้งเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินทหาร

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียง 2 วันหลังจากที่สนามบินโคเปนเฮเกน ซึ่งเป็นสนามบินหลักของประเทศ ต้องระงับเที่ยวบินนานถึง 4 ชั่วโมงจากปัญหาเดียวกันเมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.)

ทางการเดนมาร์กยกระดับเหตุการณ์ที่สนามบินโคเปนเฮเกนว่าเป็นการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศที่ร้ายแรงที่สุด และเชื่อมโยงกับรูปแบบการรุกล้ำโดยโดรนที่ต้องสงสัยว่ามาจากรัสเซีย รวมถึงการก่อกวนอื่น ๆ ทั่วยุโรป อย่างไรก็ตาม เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำเดนมาร์กได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวเมื่อวันอังคาร (23 ก.ย.) โดยระบุว่าไม่มีมูลความจริง

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดที่สนามบินออลบอร์ ตำรวจยืนยันว่าพบ “โดรนมากกว่าหนึ่งลำ” บินเปิดไฟอยู่ในน่านฟ้าเป็นเวลานานราว 3 ชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงค่ำวันพุธจนถึงหลังเที่ยงคืน ส่งผลให้เที่ยวบิน 3 เที่ยวต้องเปลี่ยนไปลงจอดที่สนามบินอื่น

สถานการณ์ยังลุกลามไปยังพื้นที่อื่น ๆ โดยมีรายงานการพบเห็นโดรนใกล้สนามบินในเมืองเอสบีเยร์ เซอเนอร์ปอร์ และสกรึดสตรุป ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพเครื่องบินขับไล่ F-16 และ F-35 ของเดนมาร์กด้วย

เหตุการณ์นี้สอดคล้องกับสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างนอร์เวย์ ที่สนามบินออสโลต้องปิดน่านฟ้าชั่วคราวจากปัญหาโดรนเช่นกันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ชี้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ “รูปแบบการสร้างความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องบริเวณพรมแดนของเรา”

ด้านความคืบหน้าการสืบสวน ตำรวจยอมรับว่ายังไม่สามารถระบุชนิดของโดรนได้ และยังเร็วเกินไปที่จะสรุปถึงเป้าหมายหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ขณะที่ความพยายามในการนำโดรนลงไม่ประสบผลสำเร็จและยังไม่สามารถจับกุมผู้ควบคุมโดรนได้

ทอร์กิลด์ โฟเด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเดนมาร์ก เปิดเผยว่าได้รับแจ้งเบาะแสเรื่องโดรนจากประชาชนทั่วประเทศนับตั้งแต่วันจันทร์ “แม้รายงานส่วนใหญ่จะไม่น่ากังวล แต่บางกรณีมีความน่าสนใจ ซึ่งผมคิดว่าเหตุการณ์ที่ออลบอร์คือหนึ่งในนั้น” เขากล่าว พร้อมยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับหน่วยข่าวกรอง กองทัพ และหน่วยงานในต่างประเทศเพื่อคลี่คลายคดีนี้ โดยยืนยันว่าไม่มีอันตรายต่อผู้โดยสารหรือประชาชนในพื้นที่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 68)