
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า หลัง Fitch Ratings ปรับลด Credit rating outlook ของประเทศไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” เงินบาทปรับอ่อนค่าลง โดยอ่อนค่าเกือบ 20 สตางค์เมื่อเทียบกับระดับราคาเปิดของวัน
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทนี้ ไม่ได้เป็นผลจาก Fitch Ratings อย่างเดียว แต่เป็นเพราะตัวเลขส่งออกไทยเดือน ส.ค.68 ที่ออกมาในเวลาใกล้เคียงกันอ่อนแอกว่าคาดเช่นกัน จึงยิ่งซ้ำเติมมุมมองที่เศรษฐกิจไทยจะชะลอลงชัดเจนขึ้นในไตรมาสข้างหน้า สำหรับปัจจัยต่างประเทศก็กดดันให้บาทอ่อนค่าเช่นกัน เพราะดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐมี Correction กลับไปแข็งค่าขึ้นหลังเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ (ยอดขายบ้านใหม่) ออกมาดีกว่าคาด และ Jerome Powell ยังไม่ให้สัญญาเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในระยะต่อไป จึงทำให้ US Treasury yields กลับมาสูงขึ้น สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยราว 3-4 bps หลัง Fitch Ratings ปรับ Outlook ลง
ทั้งนี้ Fitch Ratings กังวลเกี่ยวกับกันชนทางการคลัง (Fiscal buffer) และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอลง โดยหนี้สาธารณะรวมอยู่ที่ 59.4% ต่อ GDP ในเดือนสิงหาคม 2025 ใกล้เคียงกับค่า Median ของกลุ่มประเทศที่มีอันดับ “BBB” ที่ 59.6% และเพิ่มขึ้นมากถึง 25 percentage points จากระดับ pre-Covid-19
อย่างไรก็ดี ไทยยังมีเสถียรภาพต่างประเทศที่แข็งแกร่ง และยังมีความสามารถในการจัดหาเงินทุนเพื่อชำระหนี้ภาครัฐได้ค่อนข้างดี จึงทำให้ไม่ถูกปรับลด Credit rating ลงจาก BBB+ โดยภาระดอกเบี้ยจากหนี้ต่างประเทศของไทยยังต่ำ คิดเป็น 0.7% ของรายได้จากต่างประเทศ ซึ่งต่ำกว่าค่า Median ของกลุ่มอันดับ “BBB” ที่อยู่ที่ 5.7% อีกทั้ง สถานะสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของรัฐบาลไทยยังค่อนข้างสูง โดยคิดเป็น 47% ต่อ GDP ซึ่งสูงกว่าค่า Median ของกลุ่มอันดับ “BBB” ที่อยู่ที่ -2% อีกด้วย
สำหรับปัจจัยที่อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง คือ
1) เศรษฐกิจมหภาคที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะปานกลาง โดยนายวชิรวัฒน์ มองว่า เศรษฐกิจไทยไม่เพียงแค่โตต่ำในปีนี้ (คาด 1.8%) แต่ศักยภาพของเศรษฐกิจไทย ก็มีแนวโน้มลดลงด้วย ปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจในปีนี้ และปี 69 โตต่ำคือ ภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอลงมากจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การบริโภคเอกชนที่จะแย่ลงจากรายได้ครัวเรือนที่ต่ำและหนี้สูง รวมถึงการลงทุนเอกชนที่จะขยายตัวต่ำจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น และอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 69 อาจโตแค่ราว 1.5% และ Potential growth ของไทยปรับลดลงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือกังวล
2) ฐานะการคลังของภาครัฐอ่อนแอ ความสามารถในการรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระยะปานกลาง ปรับลดลง และการขาดดุลงบประมาณที่ต่อเนื่อง โดยนายวชิรวัฒน์ มองว่า เศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มชะลอลง จำเป็นต้องใช้มาตรการทางการคลังเข้ามาช่วยสนับสนุน ซึ่งจะยิ่งทำให้ Fiscal space แย่ลง โดยภาครัฐเตรียมออกมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน
อย่างไรก็ดี มาตรการจะทำให้ Fiscal space ปรับลดลง ซึ่ง Fitch Ratings ประเมินว่ารัฐจะขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นไปที่ 4.6% ต่อ GDP ในปีงบประมาณนี้ และ 4.3% ต่อ GDP ในปีงบประมาณหน้า นอกจากนี้ ภาครัฐยังไม่มีแนวนโยบายในการปรับลดการขาดดุลทางการคลังอย่างชัดเจน เพราะจำเป็นต้องใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การจัดเก็บรายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นยังทำได้ยาก
หากไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้าง และผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้นได้อย่างยั่งยืน ก็มีโอกาสถูกปรับลด Credit rating ลงได้ในท้ายที่สุด โดยหากดูสถิติในต่างประเทศพบว่า ประเทศที่ถูกปรับ Outlook มักจะถูกปรับ Rating ตามมาในระยะ 12-18 เดือนหลังจากนั้น ซึ่งไทยถูก Moody’s ปรับ Outlook เป็น Negative เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ทำให้มีโอกาสที่จะถูกปรับ Rating ลงในปีหน้า เพราะประเด็นที่บริษัท Credit rating (ทั้ง Fitch และ Moody’s) ปรับลด Outlook ของไทยลง มาจากปัญหาเชิงโครงสร้างและระยะยาว ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้และทำได้ไม่ง่ายนัก
อีกทั้งการเมืองไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า ทำให้การดำเนินนโยบายอาจไม่ต่อเนื่อง นโยบายการคลังอาจถูกมุ่งเน้นไปที่นโยบายระยะสั้นเป็นหลัก ซึ่งยังไม่สามารถแก้ปัญหาระยะยาวที่บริษัทจัดอันดับกังวลได้
“หากทางการไทย มีแผนงานในการปรับวินัยทางการคลัง (ทำ Fiscal consolidation) เพื่อให้ฐานะทางการคลังปรับดีขึ้น และมีการสื่อสารต่อสาธารณะได้อย่างชัดเจน ก็อาจทำให้ไทยยังไม่ถูกปรับ Credit rating ลงได้ โดยให้จับตาการทบทวน Credit rating ไทยของทาง Moody’s ในเดือน ตุลาคมนี้” นายวชิรวัฒน์ ระบุ
พร้อมมองว่า สำหรับมุมมองต่อเงินบาท อาจเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าได้ หากไทยถูกปรับ Credit rating ลงจริง แต่คาดว่าผลกระทบต่อเงินบาท และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yields) จะไม่มากนัก เนื่องจาก 1. มองว่าปัจจัยที่อาจทำให้ถูกลด Rating ลงไม่ใช่ประเด็นใหม่ และตลาดรับรู้อยู่แล้ว และ 2. Rating ของไทยยังคงอยู่สูงกว่าระดับ Non-investment grade อยู่อีก 3 notches ดังนั้น หากถูกปรับ Rating ลงจริง ก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อหนี้และการระดมทุนมากนัก
เมื่อดูที่ปัจจัยอื่นประกอบ ทั้งเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อได้อีกเล็กน้อย และราคาทองคำที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ประเมินว่าเงินบาทอาจอยู่ในกรอบ 31.00-32.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปีนี้ แต่ในระยะสั้น บาทอาจยังอยู่ในกรอบ 31.85-32.35 บาท/ดอลลาร์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 68)