SCB EIC เตือนเศรษฐกิจไทย”โตต่ำ”ต่อเนื่อง ปี 69 ขยายแค่ 1.5% “บาทแข็ง-สงครามการค้า-หนี้สาธารณะ”รุมเร้า

นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยจะเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ภายนอกท้าทายมากขึ้นจากสงครามการค้าและตลาดการเงินโลกผันผวน ภายในท้าทายมากขึ้นจากความเปราะบางในภาคธุรกิจ ครัวเรือน และข้อจำกัดการคลัง เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มขยายตัวต่ำต่อเนื่องโดยปี 68 จะขยายตัวเพียง 1.8% และชะลอลงเหลือ1.5% ในปี 69

ความท้าทายภายนอก ทำให้โลกผันผวน อุปสงค์โลกชะลอตัว ไทยจะพึ่งพาโลกได้ยากขึ้น ส่งผลต่อการส่งออกของไทยที่อาจจะชะลอตัวลง ซึ่ง SCB EIC มองว่าการส่งออกไทยจะหดตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ และหดตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 69 เพราะ Front-loading ไปมากแล้ว และยังต้องเจอกำแพงภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐฯ หลายรูปแบบที่มีความซับซ้อนและไม่แน่นอนสูง ในภาวะอุปสงค์โลกที่จะชะลอตัวลงด้วย

ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่ากดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเร็วกว่า 8% ในปีนี้ โดยแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี และนำคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งสำคัญแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่วิกฤตปี 40 โดยมีสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและจากปัจจัยภายในของไทย ทั้งการส่งออกทองคำพุ่งสูงขึ้นมากตามราคาทองที่สูงขึ้นเร็ว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตร

นายยรรยง กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทมากเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ เงินบาทจึงอาจกลายเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม (Shock amplifier) กระทบความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกซ้ำเติมผลกระทบภาษีทรัมป์รวมถึงกดดันการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

กลุ่มธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงจากบาทแข็ง ได้แก่ อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกสูงและใช้ปัจจัยการผลิตจากในประเทศเป็นหลัก เช่น สินค้าเกษตร รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้ต่างชาติสูงเช่น ภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการแปลงรายได้ดอลลาร์สหรัฐเป็นรูปเงินบาทเพื่อจ่ายค่าวัตถุดิบและค่าจ้าง ในช่วงบาทแข็งอาจขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำกว่าปีก่อนมาก แม้จะเริ่มมีสัญญาณพ้นจุดต่ำสุด ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนยังต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่เริ่มหดตัวน้อยลง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันดึงดูดนักท่องเที่ยวในเอเชีย ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักของไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับหลายประเทศ

เงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องยังเสี่ยงจะทำให้ไทยเสียเปรียบการแข่งขัน ทั้งกับประเทศปลายทางอื่น โดยเฉพาะเวียดนามและจีนที่ค่าเงินอ่อนค่ากว่าประเทศอื่นในปีนี้ และการดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดีย สหรัฐ และจีนที่สกุลเงินอ่อนค่ากว่าเงินบาท ทำให้การฟื้นตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะข้างหน้ายังมีความท้าทาย

ขณะที่ภาคการคลังมีข้อจำกัด ซึ่งในระยะสั้นเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจะพยุงการบริโภคได้บ้าง แต่ผลต่อเศรษฐกิจไม่มากเพราะวงเงินไม่สูง หากเกิดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะกระทบกระบวนการจัดทำ พ.ร.บ. งบฯ ปี 2570 ส่งผลให้การเบิกจ่ายล่าช้า ขณะที่หนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน 70% ในไม่ช้า เนื่องจากรัฐบาลลดการขาดดุลได้ยาก ภาระดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และรายจ่ายสวัสดิการสูงวัยปรับลดยาก รวมถึงแนวโน้มรายได้รัฐบาลต่ำมานาน เสถียรภาพการคลังในระยะปานกลางที่อาจแย่ลงเช่นนี้เป็นความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางกรอบ ออกมาตรการ และสื่อสารแผนปฏิรูปการคลังที่ชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยงนี้ลง

ด้านตลาดแรงงานไทยมีความเปราะบางมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีนี้ เห็นได้จากอัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมและอัตราการว่างงานของแรงงานจบใหม่ที่เร่งตัวขึ้นชั่วโมงการทำงานลดลงทุกสาขา รวมถึงสัดส่วนผู้ทำงานต่ำระดับสูงขึ้น กดดันการฟื้นตัวของรายได้ในระยะข้างหน้าท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม แนวโน้มการจ้างงานในกลุ่มธุรกิจเสี่ยงมาก-ปานกลางเริ่มปรับลดลงตั้งแต่ต้นปี สอดคล้องกับข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 68 ลดลง ประกอบกับภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ยังเปราะบาง รายได้ธุรกิจฟื้นตัวแบบ K-shape กว้างขึ้น โดยรายได้ SMEs เฉลี่ยยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดขณะที่สัดส่วนรายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ Top 1% ขยายตัวต่อเนื่อง และมีสัดส่วนรายได้กว่า 76% ของรายได้รวมของภาคธุรกิจ สะท้อนการแข่งขันของ SMEs ที่ยากขึ้น

SCB EIC ประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้เหลือ 1.25% และอีกครั้งต้นปีหน้า เหลือ 1% เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายมากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตชะลอลง อัตราเงินเฟ้อยังต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน และคุณภาพสินเชื่อด้อยลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภาวะการเงินในช่วงที่ผ่านมายังตึงตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงที่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สินเชื่อที่หดตัวต่อเนื่อง และดัชนีค่าเงินบาทแข็งค่านำ

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยประคองเศรษฐกิจ ลดภาระหนี้ และเอื้อต่อกระบวนการ Deleveraging ลดหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนได้ แต่อาจไม่ช่วยให้สินเชื่อใหม่ฟื้นตัวได้มากนัก จากความระมัดระวังของทั้งสถาบันการเงินและผู้กู้

โจทย์ท้าทายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่มี 3 ด้าน (3S)ได้แก่

  1. Stabilize เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้ฟื้นคืนมาหลังเศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ โดยต้องเน้นการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ทำได้จริง ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกและกระบวนการผลักดันที่มีประสิทธิภาพ
  2. Stimulate เพื่อกระตุ้นอุปสงค์เศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง โดยเน้นมาตรการการคลังที่ตรงจุด รวดเร็วและชั่วคราว ตลอดจนการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับเศรษฐกิจ ควบคู่กับผ่อนคลายภาวะการเงินที่ตึงตัว ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบาย การใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อของ SME และการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนกระทบต่อภาคส่งออก
  3. Structural reform ด้วยการยกระดับนโยบายภาครัฐเพื่อช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจ ผ่านการแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การจัดหาตลาดส่งออกใหม่ และการผลักดันการลงทุนด้าน Green transformation ตลอดจนการวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ผ่านการวางกรอบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมสำหรับอนาคตของประเทศ การพัฒนาทักษะของแรงงาน และการปฏิรูปการคลัง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 68)