
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า นโยบายของรัฐบาลได้เขียนไว้ชัดว่ารัฐบาลนี้จะสนับสนุนการทำประชามติเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และฟังเสียงของประชาชน สร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และเพื่อธำรงไว้ในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ได้ใช้คำว่าจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ รัฐบาลนี้ต้องการสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามนโยบายที่แถลงไว้ ที่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และธำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นขั้นตอนแรก ส่วนขั้นตอนที่ 2 เมื่อประชาชนลงประชามติเห็นชอบกับการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะเป็นคำถามที่ 1 โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเพิ่มหมวด 15/1 เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีเฉพาะหมวด 15 ไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่สภาต้องพิจารณาซึ่งในชั้นที่ 1 ที่สภาต้องพิจารณาจะเป็นวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่าจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างไร โดยไม่ให้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าไม่สามารถเลือก สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดยตรงจากประชาชนได้ ถ้าผ่านสภาแล้วจะมีการทำขั้นตอนที่ 2 คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย ส.ส.ร. หรือใครก็แล้วแต่ ตามที่เขียนไว้ในหมวด 15/1 ที่ผ่านประชามติ ถึงจะมาดูว่าจะแตะหมวด 1 หมวด 2 หรือไม่
โดยขณะนี้มี 2 พรรคการเมืองใหญ่ได้พูดไว้แล้วว่า จะไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปแตะเรื่องดังกล่าวก็จะมีปัญหาทันทีว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหรือไม่ ในมาตรา 255 เรื่องนี้จึงชัดเจนอยู่ในตัวว่าประชามติที่รัฐบาลจะทำ และจะทำวันเดียวกับวันเลือกตั้งจะทำ 2 เรื่องเท่านั้น และจะทำตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือ 1.ประชาชนจะเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และ 2.ประชาชนจะเห็นชอบกับวิธีการและเนื้อหาสาระที่รัฐสภาจัดทำตามร่างรัฐธรรมนูญแล้วตามมาตรา 256 อนุมาตรา 1 ถึงมาตรา 6 โดยยืนยันว่า จะไม่มีการลงไปถึงเนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้นสภาต้องรอ ส.ส.ร.ที่มาจากหมวด 15/1 จะเขียนอะไร
ส่วนเรื่องคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาตรา 256 (8) พูดไว้ชัดว่าจะไปแก้คุณสมบัติต้องห้ามต้องไปทำประชามติก่อน เรื่องนี้รัฐบาลไม่แตะ ส่วนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ทำขึ้น โดย ส.ส.ร.จะไปแต่เรื่องคุณสมบัติหรือไม่ ต้องตามไปดูในขั้นตอนที่ 2 ส่วนเรื่องที่ สส. ได้สอบถามถึงการทำประชามติ ให้ยกเลิก MOU นั้น การจัดทำประชามติในแต่ละครั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บอกว่าใช้เงิน 6,000 ล้านบาท เพื่อให้เป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน รัฐบาลจะทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้ง ซึ่งประชามติจะมี 2 เรื่องที่จัดทำ 1 คือเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมี 2 คำถาม และจะมีบัตรขึ้นมาอีกใบหนึ่ง ซึ่งถามว่า ท่านเห็นชอบให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่
“ดังนั้นรัฐบาลต้องประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนว่าในการเลือกตั้งทั่วไปหลังจากยุบสภา ประชาชนจะมีบัตรทั้งสิ้น 4 ใบ ใบที่ 1 คือเลือก สส.เขต ใบที่ 2 เลือก สส.บัญชีรายชื่อ ใบที่ 3 เป็นการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ และใบที่ 4 ประชาชนต้องวินิจฉัยว่าจะให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่” นายบวรศักดิ์ กล่าว
เรื่อง MOU ที่ต้องไปถามประชาชนเพราะรัฐบาลนี้เห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลเฉพาะกิจไม่ควรตัดสินใจ ด้วยตัวเองแต่ควรขอฉันทานุมัติ จากประชาชนตามมาตรา 166 ของรัฐธรรมนูญ ถ้าประชาชนบอกเลิกก็ต้องเลิก แต่ถ้าประชาชนบอกว่าให้เก็บไว้ รัฐบาลมีก็ต้องเก็บไว้ เพราะประชาชนคือเจ้าของอำนาจอธิปไตย เขาต้องตัดสินใจได้ด้วยตัวเขาเอง
สำหรับประเด็นที่ สส.ให้ข้อคิดเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวกโดยเฉพาะการแต่งตั้ง วันนี้พอแถลงนโยบายเสร็จ นายกรัฐมนตรีได้กำชับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ยืนยันเรื่องการแต่งตั้งอธิบดีและผู้บริหารที่ถูกแต่งตั้งโดยรัฐบาลรักษาการชุดที่แล้ว ทุกตำแหน่งประมาณ 10 ตำแหน่ง ซึ่งทำให้ท่านได้เห็นว่าการเริ่มต้นรัฐบาลนี้ เรื่องใดผ่าน ครม.ไปแล้ว ก็เดินต่อ ไม่มีเจตนา เอาพรรคพวกที่จะดึงกลับมาแล้วเอาพรรคพวกจากพรรคการเมืองของตัวเองเข้าไปเสียบ หรือยกเลิกมติ ครม.เดิม ก็คงทำให้ท่านได้อุ่นใจระดับหนึ่ง
ส่วนที่ สส.ไม่อยากให้มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ชวนให้ตนเข้าร่วม ครม. ตนได้กราบเรียนท่านว่า เรื่องใดที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เช่น เรื่องฮั้ว สว. เรื่องเขากระโดง และเรื่ององค์กรอิสระในกระบวนการยุติธรรม ขอให้ปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรม ที่ควรจะเป็น ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็รับปาก รัฐบาลแถลงชัดว่าจะไม่ให้ใช้กฎหมาย หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง เรื่องนี้สำคัญเพราะในอดีต เคยมีคนนำ ป.ป.ง. ที่อยู่ฝ่ายไม่เอื้อต่อรัฐบาล จะเป็นคนหรือเป็นโทษต่อประโยชน์ทางการเมือง ต้องมีหน่วยงานเข้ามากำกับ การใช้ดุลยพินิจให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจจะต้องแก้กฎหมาย แล้วขอความร่วมมือกับ สส. และ สว. โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นการแทรกแซงแต่เป็นการป้องกัน ไม่ให้หน่วยงานนั้นเป็นเครื่องมือทางการเมือง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 68)