
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระบุว่า นโยบายรัฐบาลชุดนี้ มีลักษณะการจัดทำแบบมหาสมุทร แทนที่จะทำแบบเจาะจง เนื่องจากเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีข้อจำกัด 3 ข้อ ได้แก่ 1.เวลาจำกัด 2.ไม่ได้จัดทำงบประมาณ และ 3.เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือรัฐบาลเป็ดง่อย เพราะเกิดจากการเมืองภาคพิสดาร
ขณะเดียวกัน มองว่ารัฐบาลชุดนี้ มีแต้มต่อมากกว่ามีข้อจำกัด ทำให้นายกฯ กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร มีเก้าอี้รัฐมนตรีมาแบ่งปันกันเหลือเฟือที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบรัฐสภา เพราะเมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้าบริหาร ก็มีเงินมากองไว้ทันที เพราะมีงบฯ เหลือจ่าย ปี 68 รออยู่แล้ว 60,000 ล้านบาท ส่วนงบฯ ปี 69 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะงบฯ ฉุกเฉิน 9.8 หมื่นล้านบาท ที่รอใช้วันที่ 1 ตุลาคม 68 อีกทั้งมีนโยบายสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้แล้ว โดยผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ หรือ MOA ที่คิดไว้ให้เสร็จสรรพว่า ต้องทำอะไรบ้าง และสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที เหลือให้คิดเอง 3 เรื่อง คือ นโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา การจัดคณะรัฐมนตรี และการทำนโยบายให้สำเร็จ
“รัฐบาลเป็นคนเลือกเอง และเลือกทางเดินนี้ด้วยความเต็มใจ ซึ่งนายกฯ เป็นนักธุรกิจ คงบวกลบคูณหารเรียบร้อยแล้ว และคิดว่าคุ้ม ที่จะแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลกับข้อจำกัด 3 ข้อ อีกทั้งคุ้มที่จะเป็นรัฐบาลต่างตอบแทน ฝ่ายหนึ่งได้ตำแหน่งนายกฯ และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อีกฝ่ายหนึ่งได้ยุบสภา ได้แก้รัฐธรรมนูญ ถ้าจะบอกว่าเวลาเป็นข้อจำกัด ก็อาจจะใช่ แต่อาจจะไม่ใช่ ก็พูดได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้อยู่แค่ 4 เดือน แต่อาจจะอยู่ 8-9 เดือน ถ้ายุบสภาตามสัญญาที่นายกฯ พูด ปลายเดือนมกราคมก็กินเวลาเป็น 4 เดือนกว่าแล้ว รวมกับเวลาช่วงหาเสียง และประกาศผลเลือกตั้ง จนถึงถวายสัตย์ปฏิญาณและรัฐบาล จึงจะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วแค่เดือนกว่า เพราะรัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ 10 เดือนครึ่ง”
นายจุรินทร์ กล่าวถึงการจัด ครม. ที่แบ่งเป็นคนใน และคนนอก ขอชมด้วยความจริงใจ หลายตำแหน่งนายกฯ จัดได้ดี ถูกฝาถูกตัว แต่น่าเสียดาย มีบางตำแหน่งกลายเป็นชักใบให้เรือเสีย ทำให้ ครม. ชุดนี้กระดำกระด่าง เชื่อว่า นายกฯ คงรู้อยู่แกใจ ดูได้จากที่นายกฯ นำคนนอกมาเปิดตัวด้วยตัวเอง
นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงการตั้งโจทย์ประเทศของรัฐบาลชุดนี้ มี 4 ภัย คือ ภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยพิบัติธรรมชาติ แต่ตนมองว่า ยังไม่ครบ ยังมีภัยที่สำคัญอีกอย่าง คือ ภัยทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา
สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ นายจุรินทร์ เชื่อว่า หลายคนบ่นว่านโยบายนี้มาผิดที่ผิดเวลา ประชาชนวิจารณ์ว่าอยากเห็นการแก้ปากท้องมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อรัฐบาลแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบ โดยตนขอตั้งคำถาม 2 ข้อ ดังนี้
– การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องไม่แตะหมวด 1-2 แต่หากมีร่างฉบับใดเสนอเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา และไม่กำหนดเงื่อนไขดังกล่าว รัฐบาลชุดนี้จะยกมือให้หรือไม่
หากการแก้รัฐธรรมนูญ ไปแก้มาตรา 160 (4) (5) เรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ศาล และองค์กรอิสระ ที่ระบุว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และต้องไม่มีพฤติกรรม ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง นายกฯ จะสนับสนุนให้มีการแก้ต่อไปหรือไม่
– ในส่วนนโยบายด้านความมั่นคงเกี่ยวกับชายแดนไทย-กัมพูชา นายจุรินทร์ ชื่นชมรัฐบาลที่ใช้ยุทธศาสตร์ทหาร-เศรษฐกิจ-การทูต แต่ขอให้ชัดเจนในนโยบาย ที่ระบุว่ารักษาไว้ซึ่งอธิปไตยนั้น หมายถึง การยึดคืนพื้นที่ตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากลที่ถูกครอบครองไปแล้วทั้งหมด ด้วยใช่หรือไม่ และจะดำเนินการเมื่อใด
นอกจากนี้ ยังถามถึงการจัดการบ่อนกัมพูชาที่รุกล้ำเขตแดนไทย ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายจัดการบ่อนผิดกฎหมายให้สิ้นซาก พร้อมถามถึงความชัดเจนในการยกเลิก MOU ปี 43 หรือ 44 ว่าเหตุใดรัฐบาลไม่ตัดสินใจเอง แต่เลือกทำประชามติ พร้อมเสนอแนะว่าให้ดำเนินการควบคู่กับการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่
นายจุรินทร์ พบว่านโยบายเรื่องราคาพืชผล (ข้าว มัน ยาง ปาล์ม ข้าวโพด) เป็นคนละเรื่องกับตอนหาเสียง ซึ่งเคยเสนอราคาข้าวเปลือก 1.8 หมื่นบาท/เกวียน พร้อมทั้งระบุว่าขณะนี้ชาวนาขายข้าวได้ต่ำสุดในรอบ 20 ปี เหลือ 5-6 พันบาท/เกวียน เนื่องจากปัญหาค่าเงินบาทแข็งและการแข่งขันการส่งออกที่สูงขึ้น จึงขอให้รัฐบาลรับการบ้านไปแก้ปัญหาโดยด่วน ทั้งการระบายข้าวและหาวิธีดึงราคาสินค้าเกษตรอื่นๆ
นอกจากนี้ นโยบายคนละครึ่งที่รัฐบาลนำกลับมาใช้เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ตั้งข้อสังเกตเรื่องไทม์ไลน์การดำเนินการที่จะมี เฟส 2 ในช่วง ธ.ค.-ม.ค. ซึ่งอาจจะตรงกับการยุบสภาและเลือกตั้งพอดี จึงมองว่าอาจกลายเป็นนโยบายที่ผสมผสานระหว่าง เศรษฐกิจครึ่ง การเมืองครึ่ง เพื่อหาคะแนนนิยม
สำหรับนโยบายของรัฐบาลที่จะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองอย่างเด็ดขาดถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่นายจุรินทร์ ได้ตั้งคำถามว่า หากหน่วยงานเช่น DSI ยังเดินหน้าทำคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองอยู่ จะถือว่าเข้าข่ายทำผิดตามนโยบายนี้หรือไม่
นายจุรินทร์ ได้ฝาก 5 คาถา ให้รัฐบาลอนุทินว่า
คาถาข้อที่ 1 ขอให้รัฐบาลระลึกถึงคำถวายสัตว์ปฏิญาณไว้เสมอ ที่ระบุว่า “ไม่โกง” เพราะโกงก็จะมีอันเป็นไป และ “ทวน” เป็นอาวุธ มีไว้รบกับเขมร แต่ไม่ได้มีไว้ให้ทิ้งก่อนยุบสภา
คาถาข้อที่ 2 อย่าใช้ระบบเล่นพรรคเล่นพวกเหมือนบางยุค ที่มีการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะจะทำให้คนดีหมดกำลังใจ และทำลายอนาคตของประเทศ
คาถาข้อที่ 3 อย่าเลือกปฏิบัติ อย่าเลือกพัฒนาเฉพาะพื้นที่ที่เลือกมา เพราะทุกพื้นที่ต่างเป็นคนไทยเหมือนกัน
คาถาข้อที่ 4 อย่าลุแก่อำนาจซ้ำรอยอดีต จากที่เคยเห็นมาแล้วมีทั้งอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ ทั้งผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ทั้งองค์กรอิสระ ถ้าเผลอตัวเมื่อไหร่จะจบไม่สวย
คาถาข้อที่ 5 อย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพราะนอกจากเป็นการทำลายระบบนิติรัฐแล้ว ยังเป็นของแสลง
ด้าน นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายถึงนโยบายของรัฐบาล โดยแสดงความเคลือบแคลงสงสัยต่อความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ พร้อมเปรียบเปรยรัฐบาลอนุทิน ว่าเป็นเสมือน “ผู้ป่วยโปลิโอ” ซึ่งรัฐบาลพยายามวาดภาพสวยหรูเหมือนหนุ่มหล่อ สาวสวย แต่มีโรคประจำตัวอยู่ข้างใน เพราะในวันที่โหวตเลือกนายกฯ ผู้นำฝ่ายค้านได้บอกชัดเจนว่า ไม่ได้เลือกมาบริหารราชการแผ่นดิน แต่เลือกมาตาม MOA 5 ข้อ คือ เลือกมาเพื่อยุบสภา และแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อหยิบนโยบายปกน้ำเงินมาอ่าน กลับพบว่า นโยบายสำคัญตาม MOA ที่ตกลงกันไว้นั้น กลับไม่มีสักข้อเดียว
นายชัยชนะ ยังตั้งคำถามถึงความจริงใจ และความเป็นไปได้ของนโยบายเร่งด่วน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชน ที่มีรายละกว่า 100,000 บาท ว่าจะเอางบประมาณจากที่ใดมาดำเนินการภายใน 4 เดือน พร้อมได้ชี้ว่ารัฐบาลทำไปเพื่อต้องการความนิยม และคะแนนโพลที่สูงขึ้นเท่านั้น
“สิ่งที่ผมเห็น 4 เดือนที่ทำมาโดยตลอด คือ พลังดูด นี่คือสิ่งที่ท่านทำมากที่สุด ท่านตั้งรัฐมนตรีมาจากคนนอก ผมชื่นชมหลายท่านหน้าตาดี แต่บางท่านก็เป็น ครม. สตันท์แมน เพราะตัวเองเป็นไม่ได้ ต้องหาตัวแทนมาเป็นอีก” นายชัยชนะ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 68)