
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของบริษัทซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปชั้นนำของโลก รวมถึงการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย และแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้บริษัทยังมีการลงทุนทั้งในธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำซึ่งได้แก่ธุรกิจส่วนผสมอาหาร (Food Ingredient Business)
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานอ่อนตัวลง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้เดิม บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 6.3 หมื่นล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่ไม่เอื้ออำนวยและผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง (Frozen Food Business) แม้ว่าต้นทุนสินค้าคงคลังที่ลดลงและสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทดีขึ้น แต่อัตรากำไรโดยรวมของบริษัทกลับลดลงอันเป็นผลมาจากการมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับโครงการปรับโครงสร้างองค์กร ส่งผลให้ EBITDA ของบริษัทลดลง 12.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 5.5 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้(EBITDA Margin) ลดลงมาอยู่ที่ 8.7% จากระดับ 9.3% ในปี 2567
ในระยะข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับแรงกดดันจากภาษีศุลกากรของประเทศสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราภาษีตอบโต้ที่ระดับ 19% สำหรับสินค้าจากประเทศไทยซึ่งส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้นและอาจลดทอนอุปสงค์สินค้าในตลาดสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม
ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะคงระดับอยู่ที่ 1.28-1.31 แสนล้านบาทในช่วงปี 2568-2570 และคาดว่า EBITDA จะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ในขณะที่ EBITDA Margin น่าจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 8.2%-8.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
อัตราส่วนหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงและการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ที่ระดับ 6.3 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2568 เพิ่มขึ้นจากระดับ 5.7 หมื่นล้านบาทในปี 2567 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.2 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จากระดับ 4.4 เท่าในปี 2567
ในอนาคตข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับลดลง โดยบริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากรายได้ที่
ทั้งนี้ สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 5.5 เท่าในปี 2568 ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.8 เท่าในปี 2570 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 48%-53% ในช่วงปี 2568-2570
มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำระดับโลกซึ่งมีผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่หลากหลายโดยมีปลาทูน่าซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างรายได้สูงสุดในสัดส่วน 38% ของยอดขายรวมของบริษัทในปี 2567 สินค้าของบริษัทยังประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกุ้งและสินค้าที่เกี่ยวข้อง (21%) อาหารสัตว์เลี้ยง (13%) ปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอร์เรล (8%) ปลาแซลมอน (8%) รวมทั้งสินค้ามูลค่าเพิ่มและสินค้าอื่น ๆ (12%)
การมีฐานการผลิตขนาดใหญ่ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำกว่าและมีอำนาจในการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบที่สูงกว่า นอกจากนี้
มีการกระจายตัวที่หลากหลายในเชิงภูมิศาสตร์ การกระจายตัวที่หลากหลายในเชิงภูมิศาสตร์ทั้งในด้านฐานการผลิตและตลาดช่วยลดทอนความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทลงได้บางส่วน โดยบริษัทมีฐานการผลิตที่กระจายตัวอยู่ใน 14 ประเทศซึ่งครอบคลุม 4 ทวีป นอกจากนี้ บริษัทยังมีการกระจายตัวของแหล่งรายได้ด้วยโดยรายได้จากทวีปอเมริกาเหนือซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 38% ของรายได้รวมในปี 2567 รองลงมาคือตลาดยุโรป (30%) ตามมาด้วยประเทศไทย (11%) ประเทศญี่ปุ่น (6%) และประเทศอื่น ๆ (15%) ทั้งนี้ ความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์นั้นมีเป้าหมายเพื่อจะช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดจากอุปสรรคทางการค้า โรคระบาดต่าง ๆ ตลอดจนกฎระเบียบในอุตสาหกรรมการจับปลาทั่วโลก
สภาพคล่องที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าสภาพคล่องของบริษัทจะอยู่ในระดับที่เพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดยข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568 ระบุว่าบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 2 หมื่นล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันจำนวน 2.5 พันล้านบาท ในขณะที่ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายตามแผนการลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 3.8 พันล้านบาทในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
แหล่งเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ประกอบด้วยเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาทรวมทั้งวงเงินสินเชื่อระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารหลายแห่งจำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 7.3 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีกระแสเงินสดจากการออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันเมื่อเร็ว ๆ นี้อีกจำนวน 9 พันล้านบาทด้วย
โครงสร้างหนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยซึ่งไม่รวมภาระผูกพันในสัญญาเช่ารวมทั้งสิ้นจำนวน 7.5 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 1.3 พันล้านบาทซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทที่ระดับ 2% ตามข้อกำหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2.0 เท่านั้น ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.1 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 68)