“บวรศักดิ์” จ่อถก 3 ฝ่าย “รัฐบาล-ฝ่ายค้าน-สว.” วางกรอบแก้ รธน.ปลดล็อกเงื่อนเวลาวางไทม์ไลน์

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการได้โดยลำพัง เพราะต้องปรึกษาหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และเนื่องจากเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรวมอยู่ด้วยรัฐบาลจึงต้องปรึกษาหารือกับทุกพรรค รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาด้วย

ส่วนเรื่องไทม์ไลน์นั้น นายกฯ แถลงว่าจะยุบสภาในวันที่ 31 ม.ค.69 ดังนั้น จะต้องจัดการเลือกตั้งไม่เร็วกว่า 45 วัน และไม่ช้ากว่า 60 วัน ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กำหนดไว้ว่า ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มหมวด 15/1 เรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดทำประชามติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 คือ ถามว่า จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และครั้งที่ 2 เห็นด้วยกับวิธีการและเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญที่ส่งมาหรือไม่

แต่กฎหมายประชามติในวันนี้ บอกว่าประชามติจะทำได้ไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วัน นับแต่วันที่ประธานสภาส่งเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี และความซับซ้อนก็จะเกิดขึ้นอีก เพราะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ผ่านสภาไปแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างทรงพิจารณา ตรงนั้นได้มีการปรับเวลาว่าทำประชามติได้ไม่ก่อน 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วัน ตรงนี้แหละที่ต้องทำไทม์ไลน์กันให้ดี ดังนั้น ยังพูดอะไรแน่นอนไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่สภาฯ แก้ไปแล้วจะพระราชทานลงมา

“ทั้งหมดคือความตั้งใจของรัฐบาล และรัฐบาลก็ต้องปรึกษากับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ประชาชนคนไทยไม่สับสนกับบัตร 4 ใบ จำได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่น ได้ปรึกษากับบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลาย สว. และ กกต.ว่าบัตรเลือกตั้งก็ให้ใช้บัตรปกติ ไม่ต้องมีสี แต่ถ้าบัตรประชามติให้ใช้บัตรสีเหลือง และถ้าเห็นชอบด้วยให้กาในช่องสีเขียว ถ้าไม่เห็นชอบให้กาในช่องสีแดง ซึ่งไฟเขียวไฟแดงทุกคนก็รู้จัก ไฟแดงหยุด สต็อป ไม่ต้องทำ ไฟเขียวแปลว่าไป ส่วนเอ็มโอยูกับกัมพูชาก็อย่างเดียวกัน ใช้กระดาษอีกสีหนึ่ง เช่น สีฟ้า อาจจะบอกว่าถ้าให้ยกเลิก อาจให้กาในช่องสีเขียว หากไม่ให้ยกเลิกให้กาในช่องสีแดง” นายบวรศักดิ์ กล่าว

เมื่อวานนี้มีสมาชิกรัฐสภาให้ความเห็นว่าควรจะต้องมีการพูดคุยกันเพื่อให้แสดงความเห็นกันได้เต็มที่ ดังนั้น จะเรียนนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีว่าเราควรขอความร่วมมือจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) และให้ บมจ.อสมท. และช่อง 11 จัดเวลาที่เท่าเทียมกันทุกวัน อันดับแรกคือชี้แจงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่ามีเนื้อหาสาระอย่างไร และให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมีเวลาเท่ากันในการแสดงความเห็น ส่วนเรื่องเอ็มโอยูก็เช่นเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องชี้แจงก่อนว่าเอ็มโอยูที่นำมาขอประชามตินั้นมีเนื้อหาอย่างไร และให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแสดงความเห็น โดยใช้เวลาเท่ากัน ซึ่งรัฐบาลคงทำได้อย่างนี้

ส่วนสื่อโซเชียลนั้นรัฐบาลแตะต้องไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเสรีภาพของแต่ละคน แต่เชื่อว่าคนไทยฉลาด ถ้าได้อธิบายให้ฟังอย่าชัดเจนและสามารถให้เขาแยกได้ว่า อันนี้เป็นเรื่อง การลงคะแนนเลือกตั้ง 2 ใบ อันนี้เป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ และอันนี้เป็นเรื่องเอ็มโอยู ก็ไม่น่าจะไม่มีปัญหา

นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า สาเหตุที่รัฐบาลต้องคิดอย่างนี้ก็เพราะ กกต.ระบุว่าถ้าจัดแยกกันทำได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าทำได้ แต่ทำครั้งหนึ่ง 6 พันล้านบาท เลือกตั้ง 6 พันล้านบาท, แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 6 พันล้านบาท, เอ็มโอยู 6 พันล้านบาท รวมเป็น 18,000 ล้านบาท แล้วเราจะเอาหรือ ถ้าทำหนเดียว 6 พันล้านบาท ดังนั้นต้องอาศัยความชัดเจนที่ กกต. ทำบัตรเลือกตั้ง และอาศัยการที่รัฐบาลชี้แจงผ่านสื่อให้ชัดเจน, อาศัยการให้ฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแสดงออกได้อย่างเท่าเทียม

กรณีหารือเกี่ยวกับการทำประชามตินั้น นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า เวลานี้มี 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ ร่างของพรรคภูมิใจไทย, ร่างของพรรคประชาชน, และร่างของพรรคเพื่อไทย ต้องหารือกันให้เร็วที่สุด เพราะต้องอาศัยทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงสมาชิกรัฐสภา เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่าจะผ่านวาระ 3 ได้ ต้องได้เสียง สว.หนึ่งในสาม ต้องได้เสียงของพรรคการเมืองฝ่ายค้านไม่น้อยกว่า 20% ก็ต้องหารือกัน

ส่วนจะใช้ร่างของพรรคใดเป็นหลักนั้นเป็นเรื่องของสมาชิกรัฐสภาฯ ยังตอบไม่ได้ ซึ่งตามธรรมชาติจะรวมร่างกฎหมายเข้าด้วยกัน เพราะทุกพรรคก็อยากให้ใช้ร่างของตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องมาเจรจาพูดคุยประนีประนอมจนออกมาให้เป็นที่ยอมรับได้ และคำถามประชามติก็ต้องปรึกษากัน

สำหรับเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุชัดว่าต้องถามสามครั้ง โดยครั้งที่หนึ่งและสองสามารถรวมกันได้ ซึ่งไม่ใช่แห่งเดียวในโลกที่ทำแบบนี้ อย่างฝรั่งเศสก็เคยถามประชามติเดียว 2 คำถามมาแล้ว แต่ตัวคำถามจะตั้งอย่างไรต้องหารือกัน รัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้

นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า จริงอยู่ว่าเป็นอำนาจของรัฐบาล แต่ต้องขอความเห็นและความยินยอมพร้อมใจของสมาชิกรัฐสภา ที่สำคัญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีอำนาจตามกฎหมาย และยอมรับว่ามีคำถามไว้คร่าว ๆ ในใจแล้วแต่ยังไม่อยากพูด หากได้คำถามแล้วก็จะมาหารือกันภายใน เพราะอำนาจตั้งคำถามอยู่ที่ กกต.กับรัฐบาลจะปรึกษากัน เพราะประชามติ คนที่ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือรัฐบาล แต่คนที่ดำเนินการคือ กกต. ซึ่งรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ ก็ต้องถามสมาชิกรัฐสภาทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน, รัฐบาล, และ สว.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 68)