
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่ Payment Directional Paper “ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงิน ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย” เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการชำระเงินไทย และเตรียมความพร้อมสำหรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคต
น.ส. ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. กล่าวว่า ตามที่ ธปท. ได้เผยแพร่ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงิน ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย ฉบับปี 2565 ซึ่งมีความคืบหน้าสำคัญ ได้แก่ การขยายการเชื่อมโยงระบบพร้อมเพย์กับระบบชำระเงินต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการ QR code payment ที่เชื่อมมากกว่า 10 ประเทศ โครงการ PromptBiz ที่ช่วยให้ธุรกิจส่งข้อมูลทางการค้าและการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล การผลักดันการใช้มาตรฐานสากล (ISO20022) เพื่อต่อยอดบริการ
ขณะเดียวกัน ธปท. ยังดูแลผู้ใช้บริการทางการเงิน โดยยกระดับความปลอดภัยของระบบการชำระเงินให้ดีขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมโดยได้ทดสอบสกุลเงินดิจิทัล (Central Bank Digital Currency: CBDC)
ในครั้งนี้ ธปท. ได้เผยแพร่ “ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยฉบับใหม่ (ปี 2568)” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการชำระเงินให้สอดคล้องกับพัฒนาการข้างต้น และบริบทไทยมากขึ้น โดยเฉพาะโจทย์และความท้าทายเชิงนโยบาย ได้แก่
1) โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีสัดส่วนของเศรษฐกิจนอกระบบสูง หลายกิจกรรมยังอาศัยเงินสดเป็นหลัก ทำให้ไม่ถูกบันทึกเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
2) การปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ อย่าง Distributed Ledger Technology (DLT) tokenization และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงรูปแบบใหม่ขึ้นมา
3) ภัยทุจริตและธุรกรรมผิดกฎหมาย จากการที่ระบบการชำระเงินอาจถูกใช้เป็นช่องทางในการกระทำความผิด รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
กรอบการพัฒนาระบบการชำระเงิน ภายใต้ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินไทย ฉบับใหม่ มีดังนี้
1. การต่อยอดจากระบบการชำระเงินปัจจุบัน โดยยกระดับระบบพร้อมเพย์ให้มีนวัตกรรมและบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มมากขึ้น เช่น การพัฒนาบริการชำระเงินที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการซื้อสินค้าออนไลน์และบริการที่ทดแทนเช็ค การส่งเสริมการใช้ข้อมูลการชำระเงิน (digital footprint) เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs การเพิ่มความยืดหยุ่นของหลักเกณฑ์การกำกับดูแลให้เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินสดให้สอดรับกับบทบาทที่ลดลง
2. การยกระดับระบบบาทเนต (BAHTNET) โดยวางรากฐานของระบบบาทเนตให้สามารถปรับตัว ยืดหยุ่น และเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความเสี่ยงในโลกอนาคต รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับนวัตกรรมด้านการชำระเงิน
3. การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคต ผ่านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี DLT และ tokenization ควบคู่กับการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ใช้งาน และระบบการเงิน โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเอกภาพของเงิน การป้องกันการถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินหรือฉ้อโกง และการคุ้มครองผู้ใช้งาน โดยมีแนวทางกำกับดูแลเพื่อรองรับการพัฒนาบริการด้วย tokenized money ภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการชำระเงินรูปแบบใหม่และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
ธปท. มุ่งพัฒนาระบบการชำระเงินไทยให้มีความน่าเชื่อถือและมีเสถียรภาพ (trustworthiness) มีประสิทธิภาพ (efficiency) มากยิ่งขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมการเข้าถึงทั้งบริการชำระเงินและบริการทางการเงินได้อย่างครอบคลุม (inclusion) เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก มีทางเลือกที่หลากหลาย และได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม
ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจและ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลของตนเอง เพื่อเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ในมิติต่าง ๆ ตลอดจนเศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีระบบชำระเงินเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ของภาคการเงินไทย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 68)