
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 8 ต.ค.68 ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งแรก ภายใต้การกำกับของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ “นายวิทัย รัตนากร” พร้อมด้วยกรรมการใหม่อีก 2 ท่านนั้น คาดว่าที่ประชุม กนง.จะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% หลังจากได้ปรับลดลง 0.25% ในการประชุมรอบก่อนหน้าไปเมื่อเดือน ส.ค.68
แม้กรรมการบางส่วน อาจสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง แต่กรรมการส่วนใหญ่ อาจยังเห็นชอบให้คงดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอดูผลจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงก่อนหน้า และเก็บกระสุนนโยบายการเงินไว้ใช้ในจังหวะเหมาะสม หลังจากที่กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วรวม 0.75% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ และธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตาม ซึ่งช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และบรรเทาภาระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนในระดับหนึ่ง ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่เหลือน้อยลง
- ธปท. อาจใช้มาตรการอื่นช่วยดูแลบาทแข็ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธปท. อาจพิจารณาใช้มาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท เนื่องจากประสิทธิผลของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายต่อทิศทางค่าเงินบาทอาจมีไม่มากนัก โดยนับตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วกว่า 5.4% YTD (ณ วันที่ 2 ต.ค. 2568) ซึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญ มาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและการคลังของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก
“จะเห็นได้ว่า แม้ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา แต่ค่าเงินบาทก็ไม่ได้อ่อนค่าลงตาม ดังนั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม จึงอาจไม่ส่งผลต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ” บทวิเคราะห์ระบุ
โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Big Win) ของรัฐบาล อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส มาตรการลดค่าพลังงานและค่าโดยสาร รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ตลอดจนมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง คาดว่าจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพในระยะสั้น และช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีได้ในระดับหนึ่ง
- ลุ้น กนง.ลดดอกเบี้ยรอบ ธ.ค. และ H1/69 หนุนเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีโอกาสที่ กนง. จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. 68 เพื่อสอดประสานกับนโยบายทางการคลังในการประคองเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4/2568 ที่คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากการส่งออกที่ชะลอตัว ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงลง และผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ การท่องเที่ยวที่คาดว่าจะอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ท่ามกลางแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำใกล้ศูนย์
ขณะที่ เมื่อมองไปข้างหน้า คาดว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป มีทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น
“คณะกรรมการชุดใหม่ มีแนวโน้มให้น้ำหนักกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งต่างจากคณะกรรมการชุดก่อน ที่มุ่งเน้นด้านเสถียรภาพทางการเงินเป็นหลัก” บทวิเคราะห์ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 68)