“ธนกร” มอบนโยบาย ก.อุตสาหกรรม “ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน” ลั่น! 120 วันไม่มีเกียร์ว่าง

นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม มอบนโยบายให้กับข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยระบุว่า ภาคอุตสาหกรรม คือกลไกหลักในการสร้างงาน สร้างรายได้ และเสริมขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จึงเล็งเห็นว่าต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมดิจิทัล และพลังงานสะอาด ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้า มาตรการภาษีตอบโต้ และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อสังคมและธุรกิจ

  • นโยบาย “ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน” เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย

– ฝ่า : รับมือปัญหาเร่งด่วนจากสงครามการค้า และมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยเร่งช่วยเหลือ SME ที่ได้รับผลกระทบ เสริมสภาพคล่องด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ปกป้องจากการทุ่มตลาด และยกระดับระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าแบบดิจิทัล (ROO Digital + Traceability) เพื่อให้แข่งขันได้อย่างโปร่งใส และยั่งยืน

– ฟัน : จัดระเบียบอุตสาหกรรมอย่างเด็ดขาด ด้วยการปราบปรามโรงงานเถื่อน การลักลอบนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน และการทิ้งกากอุตสาหกรรม พร้อมบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด ควบคู่กับการยกระดับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม

– ดึง : เดินหน้าดึงเม็ดเงินลงทุนด้วย 2 แนวทางหลัก คือ ขับเคลื่อน BCG และพลังงานสะอาด ยกระดับภาคการผลิตไทยสู่มาตรฐานสากล ลดคาร์บอน ลดต้นทุนพลังงาน และเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ผ่านมาตรการสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมคาร์บอนเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2030 โครงการโซลาร์รูฟท็อป และตลาดคาร์บอนอุตสาหกรรม ควบคู่กับการสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัยและโปร่งใส ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบ ลดขั้นตอน เอื้อต่อธุรกิจ ส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานและดิจิทัล และผลักดันกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.การจัดการกากอุตสาหกรรม และ พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ม.อ.ก.) เพื่อสร้างระบบการผลิตที่รัดกุม ยั่งยืน และแข่งขันได้ในเวทีโลก

– ดัน : วางรากฐานสู่อุตสาหกรรมอนาคต สนับสนุน SMEs เข้าถึงเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะแรงงาน ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ดิจิทัล-AI-เซมิคอนดักเตอร์ และอาหารแห่งอนาคต-ชีวเศรษฐกิจ ควบคู่กับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อย่างการแพทย์ เทคโนโลยีสุขภาพ และปาล์มน้ำมัน

“ทุกอย่างต้องเริ่มทำทันที ภายใน 4 เดือน เราจะไม่เพียงแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่จะสร้างอนาคตใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันในระดับโลก สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ซึ่งหลายโครงการที่กระทรวงฯ ได้ดำเนินการไปแล้ว มีความสอดคล้องกับแนวทางการของรัฐบาลนี้ จึงสามารถเริ่มดำเนินการต่อได้ทันที

นายธนกร ยังกล่าวถึงปัญหา “จีนเทา” ว่า โดยส่วนตัวขอเสนอให้ใช้คำว่า “นักธุรกิจ/นักลงทุนต่างชาติ ที่ไม่ดี” เพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระดับประเทศ เพราะทุกประเทศมีคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน จึงอยากให้คำนึงถึงความเป็นพี่เมืองน้องที่มีความสัมพันธ์กันอย่างยาวนาน

ด้าน จ่าเอกยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีกรอบเวลา (Quick Win) 120 วัน ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ในการยุบสภา และจัดการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการทำงานของกระทรวงฯ เช่นกัน จึงขอความร่วมมือจากข้าราชการ ร่วมมือและเปิดใจการทำงานอย่างตรงไปตรงมา อะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ สามารถแจ้งได้ทันที เพื่อให้การทำงานเดินหน้าไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น

พร้อมทั้งย้ำนโยบาย “เปิดเร็ว-ปิดเร็ว-พึ่งพาได้” โดยยืนยันแนวคิด “ปิดทันที” หากโรงงาน/ธุรกิจทำผิดกฎหมาย แต่หากมีการแก้ไขถูกต้องแล้ว จะต้อง “เปิดให้เร็ว” เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อภาคอุตสาหกรรม ต้องการให้อุตสาหกรรมในยุคนี้ สามารถก้าวหน้าไปได้อย่างสำคัญและยั่งยืน เน้นการปฏิบัติงานด้วยการลงพื้นที่

ขณะที่นโยบายภาพรวมใหญ่ ทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ดำเนินการไปแล้วอย่างครอบคลุม จึงขอให้ทุกฝ่ายนำนโยบายเหล่านั้นไปเป็น แนวทางการปฏิบัติงานที่ชัดเจน

“เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถไปต่อได้ ต้องเร่งผลักดันให้อุตสาหกรรมที่แก้ไขข้อผิดพลาดแล้วได้ไปต่อ และจะเน้นเรื่องการลงพื้นที่พบปะภาคอุตสาหกรรม เพื่อเข้าถึงปัญหา และจะได้แก้ไขโดยเร็ว” รมช.อุตสาหกรรม กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 68)