TKN ผนึก MAJOR ผลิต POPCORN รสชาติใหม่เจาะตลาดขนมขบเคี้ยวทั่วประเทศเริ่มบุ๊กรายได้ Q4/68

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง [TKN] เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินตามกลยุทธ์ ‘GO Broad’ เพื่อขยายฐานธุรกิจกว้างขึ้นผ่านการพัฒนาสินค้านวัตกรรมกลุ่มใหม่ ๆ (Innovation Food) และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สาหร่าย (Non-seaweed) เข้าสู่ตลาด โดยมองเห็นศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ ‘POPCORN MAJOR’ ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2566 โดยพัฒนาจากป๊อปคอร์นโรงหนังมาอยู่ในรูปแบบซองเข้าสู่ตลาดขนมขบเคี้ยว (สแน็ก) ส่งผลให้เข้าถึงผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน (Everyday life) ได้อย่างกว้างขวาง รวมถึงเห็นโอกาสและช่องว่างการตลาดที่สามารถเติบโตได้จากการที่มีผู้เล่นหลักในตลาดเพียงรายเดียว

TKN จึงได้เดินหน้ารุกขยายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ล่าสุด ร่วมกับ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป [MAJOR] จัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ในนาม บริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิต จัดซื้อ และจัดจำหน่ายข้าวโพดคั่วแบบซองพร้อมรับประทาน ภายใต้เครื่องหมายการค้า “POPCORN MAJOR” ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดย TKN ถือหุ้น 51% และ MAJOR ถือหุ้น 49% ของทุนจดทะเบียน

การร่วมทุนครั้งนี้จะใช้ความเชี่ยวชาญจาก TKN ในการเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบในด้านรสชาติใหม่ ผู้ให้การสนับสนุนในด้านการตลาด การกระจายสินค้า และส่งเสริมการขยายธุรกิจดังกล่าวไปยังตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันในระยะยาว

“การจัดตั้งบริษัทย่อยในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของทั้ง 2 บริษัท โดยเรามองเห็นศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ POPCORN MAJOR และโอกาสการเติบโตตลาดข้าวโพดคั่วบรรรจุถุงในประเทศที่มีมูลค่าตลาดรวม 400 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราจึงได้ผสานความแข็งแกร่งของ MAJOR ที่มีแบรนด์ป๊อปคอร์นโรงหนังที่แข็งแกร่ง เป็นซิกเนเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ความอร่อยไม่เหมือนใคร กับ TKN ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสแน็กชั้นนำของประเทศไทยและเป็นผู้นำตลาดสาหร่ายทอดกรอบ

โดยจุดเด่นของ ‘POPCORN MAJOR’ นอกจากรสชาติ ได้ออกแบบแพ็กเกจที่เก็บรสชาติความหอม กรอบ อร่อยได้ทุกที่ทุกเวลา มุ่งขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่ชอบกินป๊อปคอร์น โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจป๊อปคอร์น และยังเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ POPCORN MAJOR ให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ POPCORN MAJOR มี 3 รสชาติหลัก ได้แก่ รสชีส (Cheese), ออริจินอล (Original) และข้าวโพดปิ้ง (Grilled Corn) และยังมีรสชาติพิเศษอีกหนึ่งรสชาติ คือ รสโนริสาหร่าย (Nori Seaweed ) พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมออกรสชาติใหม่ในเร็ว ๆ นี้ คือ รสหมึกย่างสไปซี่ (Spicy Grilled Squid ) และคาดว่าจะทยอยออกรสชาติใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

รวมถึงเตรียมพิจารณาพัฒนาขนาดและแพ็กเกจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ชอบความหลากหลายของรสชาติ และการรับประทานที่เน้นการพกไปได้ทุกที่ สามารถแบ่งปัน (Sharing) เพื่อเป็น “Snack” ของทุกคนในทุกเอนจอยย์โมเมนต์

นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าทำกิจกรรมการตลาดอย่างเข้มข้น จะเริ่มโฟกัสตลาดในประเทศเป็นหลัก โดยเตรียมวางจำหน่ายผ่านช่องทาง Modern Trade (MT) และ Traditional Trade (TT) ขณะที่ตลาดต่างประเทศอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด โดยมีประเทศเป้าหมายในกลุ่มอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้จดทะเบียนเครื่องหมายฮาลาลไว้แล้ว

นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุนนี้ตั้งแต่ไตรมาส 4/68 โดยตั้งเป้ายอดขายในปีแรกไม่ต่ำกว่า 238 ล้านบาท และคาดว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ Non-seaweed ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนไม่ถึง 5% ของรายได้รวม

ด้าน นายวิศรุต พูลวรลักษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร MAJOR กล่าวว่า การร่วมทุนในครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญที่ท้าทาย คือ การผนึกกำลังระหว่างสองผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่าง แต่สามารถเกื้อหนุนกันได้อย่างลงตัว เมเจอร์นำจุดแข็งจากแบรนด์ ‘เมเจอร์ ป๊อปคอร์น’ ที่เป็นที่ชื่นชอบของคนรักการชมภาพยนตร์ ด้วยเอกลักษณ์ความอร่อยเฉพาะตัวที่แตกต่างจากป๊อปคอร์นทั่วไป ซึ่งเป็นรสชาติแห่งประสบการณ์ที่ผู้บริโภครู้จักและจดจำได้

จากจุดเริ่มต้นของ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ได้สร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจโรงภาพยนตร์ โดยการต่อยอด “ความอร่อยในโรงหนัง” สู่ “ขนมพร้อมทานในชีวิตประจำวัน” และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคในวงกว้าง ขณะที่ TKN นำความเชี่ยวชาญด้านการผลิต การพัฒนารสชาติ การตลาด และเครือข่ายจัดจำหน่ายทั่วประเทศ มาช่วยขยายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ความร่วมมือในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเป็นการสร้าง Synergy ระหว่างผู้นำด้านความบันเทิงและผู้นำตลาดสแน็กได้อย่างแท้จริง ซึ่งนอกจากจะช่วยต่อยอดแบรนด์ ‘POPCORN MAJOR’ ให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้กับทั้งสองฝ่าย ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ การขยายช่องทางจัดจำหน่าย และการยกระดับมาตรฐานการผลิตที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสององค์กรเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“MAJOR เชื่อมั่นว่าการร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศธุรกิจ (Business Ecosystem) ที่แข็งแรง สร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับความยั่งยืนของสังคม พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ “POPCORN MAJOR” ให้เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความสุขที่แบ่งปันได้ในทุกโมเมนต์’ อย่างแท้จริง” นายวิศรุต กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ต.ค. 68)