
เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.) ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมตอบโต้ฝ่ายค้านอย่างรุนแรง หลังรัฐบาลชุดล่าสุดของมาครงเผชิญญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจถึง 2 ฉบับ ที่อาจนำไปสู่การล้มรัฐบาลภายในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางวิกฤตการเมืองที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ปธน.มาครง ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ประเทศอียิปต์กล่าวอย่างท้าทายว่า ฝ่ายตรงข้ามคือผู้ที่กำลังบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศ และเขายืนยันว่าจะไม่ลงจากตำแหน่งก่อนครบวาระสุดท้ายในปี 2570 อย่างแน่นอน โดยย้ำว่า “ผมคือผู้รับประกันความต่อเนื่องและเสถียรภาพ และจะทำหน้าที่นี้ต่อไป”
สถานการณ์ทางการเมืองของฝรั่งเศสอยู่ในภาวะชะงักงัน เนื่องจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยหลายชุดที่ผ่านมาไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณเพื่อลดการขาดดุลผ่านสภาที่แบ่งขั้วอุดมการณ์ออกเป็น 3 กลุ่มได้อย่างราบรื่น ส่งผลให้ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 ปี มาครงได้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 5 คน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ต.ค.) มาครงได้แต่งตั้งเซบาสเตียน เลอกอร์นู กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังเพิ่งลาออกไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ทั้งพรรคซ้ายจัด “La France Insoumise” (LFI) และพรรคขวาจัด “National Rally” (RN) ได้ยื่นญัตติไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลทันทีในวันจันทร์ (13 ต.ค.)
การลงมติคาดว่าจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ (16 ต.ค.) โดยชะตากรรมของรัฐบาลขึ้นอยู่กับท่าทีของพรรคสังคมนิยม (Socialists) ซึ่งยื่นเงื่อนไขว่ารัฐบาลต้องยกเลิกการปฏิรูประบบบำนาญและระงับการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49.3 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลผ่านกฎหมายได้โดยไม่ต้องลงมติในสภา
ด้านจอร์แดน บาร์เดลลา ประธานพรรคขวาจัด RN กล่าวว่า “ผมไม่ใช่พวกยึดติดกับขั้วการเมือง… ผมเชื่อว่าผลประโยชน์ของชาติฝรั่งเศสในวันนี้คือการต้องหยุดยั้งการเดินหน้าของเอ็มมานูเอล มาครงให้ได้”
ต้นตอของวิกฤตครั้งนี้เกิดจากแรงกดดันด้านงบประมาณ เนื่องจากฝรั่งเศสมีตัวเลขขาดดุลสูงที่สุดในกลุ่มยูโรโซน ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรี 2 คน คือมิเชล บาร์นิเยร์ และฟรองซัวส์ บายรู ต่างต้องพ้นจากตำแหน่งไป เพราะไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณปี 2568 และ 2569 ให้ผ่านความเห็นชอบของสภาได้
“กลุ่มการเมืองที่ลงมติล้มรัฐบาลฟรองซัวส์ บายรู รวมถึงกลุ่มที่พยายามสร้างความไร้เสถียรภาพให้กับรัฐบาลเซบาสเตียน เลอกอร์นู ต้องรับผิดชอบต่อความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว” ปธน.มาครงกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)