
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวภายหลังประชุมติดตามสถานการณ์น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า ช่วงวันที่ 15-16 ต.ค.68 ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกกระจายในระดับปานกลาง-หนัก บริเวณพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หลังจากนั้นร่องความกดอากาศต่ำจะเริ่มเคลื่อนตัวลงทางตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค.68 จะต้องเฝ้าระวังฝนที่ตกมากขึ้นในพื้นที่ภาคใต้
โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าประมาณปลายเดือนตุลาคมก็จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายลง สำหรับสถานการณ์น้ำในแต่ละเขื่อนขณะนี้เริ่มควบคุมบริหารจัดการได้ ถึงแม้ว่าหลายเขื่อนจะมีปริมาณมากใกล้เต็มความจุเก็บกัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เป็นต้น แต่ก็สามารถปรับการระบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝน ปริมาณน้ำท่าในพื้นที่ต่าง ๆ โดยต้องกักเก็บน้ำไว้ใช้อย่างเพียงพอในฤดูแล้งด้วย ในขณะที่สถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาปัจจุบัน มีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ที่อัตรา 2,645 ลบ.ม. ต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา +16.07 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ปัจจุบันมีการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา 2,300 ลบ.ม.ต่อวินาที
ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางบริหารจัดการน้ำในแต่เขื่อนแล้วเห็นชอบให้ปรับลดการระบายน้ำเขื่อนสิริกิตติ์แบบขั้นบันได จากเดิม 30 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เป็น 25 และ 20 ล้าน ลบ.ม.ต่อวันตามลำดับ เพื่อช่วยลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อน ให้ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล จากเดิม 5 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เป็น 10 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ท้ายน้ำมีน้ำใช้ในการเกษตรได้อย่างเพียงพอ
โดยหากสถานการณ์ฝนช่วงสองสามวันนี้ผ่านไปก็จะต้องมาปรับแผนเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งที่จะมาถึงในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้กันอีกครั้ง สำหรับสถานการณ์ฝนที่จะเคลื่อนตัวลงพื้นที่ภาคใต้นั้น ที่ประชุมก็ได้มีการเตรียมการรองรับสถานการณ์ไว้ด้วยแล้ว ได้แก่ การเฝ้าติดตามและคาดการณ์สถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่ต่างๆ การเตรียมการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนบางลาง เป็นต้น
สำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำที่เป็นทุ่งรับน้ำยังมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่จึงได้หารือกรมชลประทานให้วางแผนระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขังเหล่านั้น โดยต้องไม่ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้าง และให้พิจารณาปรับแผนการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อลดระดับน้ำในลำน้ำสาขาต่างๆ จนสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขังได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)