กกร.จี้ทบทวนกม.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ หวั่นลดชม.ทำงาน-เพิ่มวันหยุด กระทบ SME

รายงานข่าว แจ้งว่า นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะคณะทำงานด้านแรงงาน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ยื่นหนังสือถึงภาครัฐ, นายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อแสดงข้อกังวลและข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. จำนวน 2 ฉบับ

เนื่องจาก กกร.เห็นว่าควรมีการดำเนินการอย่างรอบคอบ สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและความพร้อมของประเทศ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ทั้งนี้ กกร.ยืนยันว่าภาคเอกชนสนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักสากล ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา และการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อส่งเสริม Work-Life Balance

อย่างไรก็ตามการปรับลดชั่วโมงการทำงานจาก 48 ชั่วโมง เหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวมถึงการเพิ่มวันหยุดและสิทธิการลาอื่น ๆ ตามร่างกฎหมายใหม่ อาจส่งผลให้ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยการผลิตเพิ่มขึ้นทันที โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ซึ่งกำลังเผชิญต้นทุนที่สูงและสภาพคล่องจำกัด อาจนำไปสู่การปิดกิจการและการเลิกจ้างแรงงาน

การปรับลดชั่วโมงการทำงานยังอาจกระทบต่อรายได้รวมของแรงงาน และควรมีการประเมินผลกระทบเชิงปริมาณอย่างชัดเจน พร้อมจัดทำมาตรการรองรับที่เหมาะสม เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังไม่พร้อมต่อการปรับเปลี่ยนดังกล่าว หลายอุตสาหกรรมยังพึ่งพาแรงงานคน ขณะที่การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยียังมีข้อจำกัดด้านเงินลงทุนและทักษะแรงงาน

กกร.เห็นว่ากระบวนการจัดทำร่างกฎหมายควรเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ที่กำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในกรณีนี้ยังขาดข้อมูลเชิงปริมาณที่เพียงพอและอาจส่งผลต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง

จากข้อกังวลดังกล่าว กกร.จึงเสนอแนวทางเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการคุ้มครองแรงงานและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนี้

1.คงไว้ซึ่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งมีความเหมาะสม สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจและมาตรฐานสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) แล้ว

2.กำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) 5-10 ปี เพื่อให้ภาคธุรกิจและแรงงานปรับตัว ลงทุนเทคโนโลยี และพัฒนาทักษะก่อนบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยลดแรงกระแทกต่อระบบเศรษฐกิจและรักษาความต่อเนื่องของการจ้างงาน

3.เชื่อมโยงการปรับกฎหมายกับนโยบายพัฒนาเทคโนโลยีและทักษะแรงงาน โดยรัฐควรสนับสนุนการใช้ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และมาตรการ Reskill & Upskill เพื่อยกระดับทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน

4.เพิ่มความยืดหยุ่นของกฎหมายให้เหมาะสมกับลักษณะงานและอุตสาหกรรม ไม่ควรใช้มาตรการเดียวกับทุกประเภทธุรกิจ แต่ควรเปิดโอกาสให้นายจ้าง-ลูกจ้างตกลงร่วมกัน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจ

5.จัดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีหรือกองทุนสนับสนุนสำหรับธุรกิจที่ยกระดับแรงงานและนำระบบ Automation มาใช้จริง เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้ภาคเอกชนปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน

6.เปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนอย่างเป็นทางการ โดยเสนอให้มีผู้แทนจากทั้ง 3 สถาบันภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อสะท้อนข้อมูลจากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

กกร.เน้นย้ำให้พิจารณาทบทวนการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เนื่องจากการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานควรดำเนินไปพร้อมกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อแรงงาน ภาคธุรกิจ และประเทศโดยรวม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)