ญี่ปุ่นส่งออกเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 4.2% ฟื้นตัวหลังลดลงติดต่อกัน 4 เดือน

กระทรวงการคลังญี่ปุ่น เปิดเผยในวันนี้ (22 ต.ค.) ว่า ยอดส่งออกเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งฟื้นตัวหลังจากที่ปรับตัวลงติดต่อกัน 4 เดือนก่อนหน้านั้น โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกไปยังเอเชียที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และสามารถชดเชยการลดลงของยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ยอดส่งออกเดือนก.ย.ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวขึ้น 4.6%

ส่วนยอดนำเข้าเดือนก.ย.ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 3.3% ซึ่งฟื้นตัวหลังจากที่ลดลง 5.2% ในเดือนส.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.6% ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้าในเดือนก.ย.ที่ระดับ 2.346 แสนล้านเยน (1.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

สำหรับยอดส่งออกไปยังเอเชียเพิ่มขึ้น 9.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น ลดลง 13.3% และยอดส่งออกไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 5.8%

ในช่วงครึ่งแรกของปีงบการเงิน 2568 ที่นับจนถึงเดือนก.ย. ญี่ปุ่นส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง 10.2% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 9.71 ล้านล้านเยน (6.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากผลกระทบของการที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น

ในช่วงเวลาดังกล่าว ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลดลง 22.6% สู่ระดับ 3.32 ล้านล้านเยน โดยถูกกดดันจากการส่งออกรถยนต์ที่ร่วงลง 22.7% ขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น ลดลง 2% มาอยู่ที่ระดับ 6.39 ล้านล้านเยน

การเปิดเผยข้อมูลการค้าล่าสุดมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ภายหลังจากสถานการณ์การเมืองในญี่ปุ่นเผชิญกับความปั่นป่วนเป็นเวลาหลายเดือน อันเนื่องมาจากการที่พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ สูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภา

ทั้งนี้ การที่นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิมีจุดยืนสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้นโยบายการคลังขนานใหญ่นั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับบรรดาผู้ส่งออกของญี่ปุ่น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ต.ค. 68)