
นายวรภัค ธันยาวงษ์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง ที่เข้ามาทำงานได้เพียง 1 เดือนเศษ ให้เหตุผลว่าเพื่อให้รัฐบาลปราศจากข้อครหา ไม่ให้เรื่องส่วนตัวไปเป็นอุปสรรคต่อภารกิจของรัฐบาล หลังมีกระแสข่าวว่าเป็น 1 ใน 7 นักการเมืองที่มีความเชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชา ซึ่งนายวรภัคเปิดเถลงข่าวในช่วงบ่ายวันนี้ยืนยันความบริสุทธิ์ พร้อมระบุว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่ใส่ร้ายทำให้เกิดความเสียหาย
นายวรภัค ยืนยันว่าไม่ได้ถูกกดดันให้ลาออกจากตำหน่งแต่อย่างใด แต่ตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยปฏิเสธและโต้แย้งข้อกล่าวหาที่พาดพิงถึงตนเองและครอบครัว กับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋น หรือที่เรียกว่า “Cambodian scammers” และการฟอกเงิน
การแถลงข่าวของนายวรภัคในช่วงบ่ายวันนี้ ระบุว่าตกเป็นเหยื่อของการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อมูลของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่พยายามนำเสนอข้อมูลเท็จเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ โดยนายวรภัคปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ “Cambodian scammers” และธุรกิจผิดกฎหมาย ที่ระบุว่าเป็น “Nominee” หรือเป็นผู้ถือหุ้นแทนให้กับกลุ่ม “Cambodian scammers” หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงต้มตุ๋น, การฟอกเงิน, และธุรกิจผิดกฎหมายในกัมพูชาและต่างประเทศนั้น ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมายใดๆ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทยหรือต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงกรณีการเชื่อมโยงกับ BIC Group และ BIC Bank Cambodia ที่มีข่าวเกี่ยวกับการหลอกลวงต้มตุ๋น โดยชี้แจงว่ารู้จักกับผู้บริหารชาวกัมพูชาของ BIC และเคยให้คำปรึกษาด้วยวาจาเกี่ยวกับการทำธุรกิจธนาคารเท่านั้น แต่ไม่เคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ใน BIC และพร้อมสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ และจะไม่ปกป้องผู้กระทำผิดใดๆ
พร้อมชี้แจงกรณีนาย Benjamin Mauerberger และหุ้น Pilgrim Finansa (Finansia Syrus) โดยมีข่าวอ้างว่านาย Mauerberger เป็นตัวแทน (Nominee) เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น Pilgrim Finansa หรือปัจจุบันคือ บล.ฟินันเซ๊ย ไซรัส [FSS] โดยนายวรภัคได้ชี้แจงว่านาย Mauerberger ไม่เคยเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นที่ปรึกษาของ BIC Bank Cambodia และ BIC Bank ก็ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นของนาย Benjamin
อย่างไรก็ตาม นายวรภัครยอมรับว่ารู้จัก Mr.Mauerberger เนื่องจากลูกเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันเท่านั้น
ในส่วนของการถือหุ้น FSS จำนวน 29% ในปี 64 เป็นการซื้อขายหุ้นตามปกติและถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นการซื้อกิจการร่วมกับนายช่วงชัย นะวงศ์ โดยมีผู้สนับสนุนทางการเงินที่มองเห็นว่าหุ้นที่ซื้อราคาไม่แพงใช้เงินไม่ถึง 700 ล้านบาท เป็นการซื้อในรูปแบบ management buy out
และได้รับวงเงินสนับสนุน 2 ส่วน คือ ส่วนที่ซื้อหุ้นและส่วนที่ต้องเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้น (tender offer) ซึ่งส่วนแรกเป็นเงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ ชื่อ Capital Asia Investment (CAI) และส่วนที่ 2 จาก BIC Bank Lao ซึ่งเป็นธนาคารที่ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd. และอีก 30% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว โดยวงเงินจาก BIC Laos เป็น Standby Facility เพื่อทำ Tender แต่เนื่องจากไม่มีผู้มาขายใน Tender จึงไม่มีการใช้วงเงินนี้
“BIC Bank Lao และ BIC Bank Cambodia มีความเกี่ยวกันกันอย่างไรจากในอดีต ถึงใช้ชื่อคล้ายกันนั้นผมไม่ทราบ ผมทราบแต่เพียงว่าในปัจจุบันความเป็นเจ้าของและการบริหารจัดการนั้นแยกกันเด็ดขาด BIC Bank Lao ดำเนินกิจการมานานแล้ว เป็นธุรกิจธนาคารที่ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาว เท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ถือหุ้นโดย บริษัท Apsara Holding 99% และ Mr. Yim Leak 1%
และหลังจากนั้นผมได้ตัดสินใจขายหุ้น FSS ทั้งหมดและลาออกจากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่งในบริษัท และไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใด ๆ ในการถือหุ้นในการบริหาร Finansia อีก ดังนั้นการคาดเดา กล่าวอ้าง หรือกล่าวเท็จเรื่องในความคิดตัวเองว่าผมเป็น Nominee หรือเป็นฟันเฟืองสำคัญของกระบวนการ scammer ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง” นายวรภัค กล่าว
นายวรภัค กล่าวอีกว่า กระบวนการใส่ร้ายป้ายสีล่าสุดยังได้ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับภรรยาว่าได้รับประโยชน์เป็นเงินคริปโทจำนวนหลายล้านเหรียญ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และขอยืนยันและมั่นใจว่าภรรยาไม่เคยมีบัญชีคริปโททั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย ดังนั้นหากใครที่กล่าวอ้างว่ามีหลักฐานยืนยันก็ขอให้เปิดเผยมา
ส่วนการดำเนินการหลังจากนี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่ทำให้เสียชื่อเสียง โดยส่วนตัวยังคงเชื่อมั่นในหลักนิติธรรมและจะยืนหยัดในความจริงเพื่อปกป้องชื่อเสียงส่วนบุคคลและเกียรติของตำแหน่งทางการเมืองที่ได้รับมอบหมาย
นายวรภัค กลาวยอมรับว่าเสียดาย เพราะได้เข้ามาทำงานในช่วงสั้น ๆ แต่ยืนยืนว่าที่ผ่านมาไม่เคยอยากนั่งตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด ไม่เคยทะเยอทะยานในเรื่องนี้ และที่ผ่านมาภรรยาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ แต่ส่วนตัวคิดว่าอยากช่วยเหลือประเทศ ก่อนหน้านี้จึงได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาของนายพิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง และเห็นว่าวันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยยังเต็มไปด้วยปัญหาเหมือนฟางเส้นสุดท้าย ต้องปฏิรูปยกใหญ่ในหลายด้านเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
“เสียดาย ทำงานอยู่ในช่วงสั้น ๆ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาถือว่าโชคดีที่ได้รับความร่วมมือที่ดีจากข้าราชการกระทรวงการคลัง ที่ผ่านมาได้คุยกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง ตลอดว่าเราเป็นรัฐมนตรีใหม่ แต่ก็ต้องเข้าใจข้าราชการว่าจะต้องมีตัวชี้วัดในการทำงาน ซึ่งนโยบาย Quick-Big-Win เป็นงานส่วนที่เพิ่มเข้ามา จึงต้องฉายภาพให้ข้าราชการเห็นว่าเรื่องนี้มีความจำเป็นในการร่วมมือร่วมใจเพื่อฉุดให้เศรษฐกิจไทยไม่ติดหล่ม และหลังจากนี้แม้ผมจะไม่มีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่หากยังมีอะไรที่สามารถทำได้ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเต็มที่”นายวรภัค กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ต.ค. 68)