
ผลสำรวจภาคเอกชนจาก S&P Global ที่เปิดเผยในวันนี้ (24 ต.ค.) บ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของญี่ปุ่นในเดือนต.ค. หดตัวลงมากที่สุดในรอบ 19 เดือน โดยมีสาเหตุสำคัญจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางอุปสงค์ที่ยังคงซบเซา
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นของญี่ปุ่น ปรับตัวลงสู่ระดับ 48.3 ในเดือนต.ค. จากระดับ 48.5 ในเดือนก.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2567 และอยู่ต่ำกว่าระดับ 50.0 ที่ใช้แบ่งเกณฑ์การขยายตัวและหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
เมื่อพิจารณาดัชนีย่อยพบว่า แม้ผลผลิตภาคโรงงานชะลอการลดลงจากเดือนก่อนหน้า แต่ยอดคำสั่งซื้อใหม่กลับหดตัวมากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณบวกอยู่บ้าง โดยยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกในเดือนต.ค. ลดลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. สอดคล้องกับข้อมูลที่ชี้ว่ายอดส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนก.ย. ขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน
ข้อมูล PMI ยังแสดงให้เห็นว่า แนวโน้มผลผลิตในอนาคตปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน
แอนนาเบล ฟิดเดส ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของ S&P Global Market Intelligence กล่าวว่า “กลุ่มผู้ผลิตมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มในอีกหนึ่งปีข้างหน้ามากกว่าผู้ให้บริการ โดยหลายรายคาดหวังว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นได้ด้วยปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และอุปสงค์ที่แข็งแกร่งขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์”
ถึงกระนั้น ภาพรวมกิจกรรมทางธุรกิจของญี่ปุ่นยังคงเผชิญความท้าทาย เนื่องจากการเติบโตของภาคบริการก็ชะลอตัวลงเช่นกัน โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นลดลงสู่ระดับ 52.4 ในเดือนต.ค. จาก 53.3 ในเดือนก.ย.
การชะลอตัวดังกล่าวส่งผลให้ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้น ลดลงสู่ระดับ 50.9 จาก 51.3 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นการเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 5 เดือน
ขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยทั้งต้นทุนปัจจัยการผลิตและราคาผลผลิตในภาพรวมต่างปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าเดือนก.ย. ซึ่งฟิดเดสให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า บริษัทต่าง ๆ มักระบุว่า การขึ้นราคาเป็นผลมาจาก “ต้นทุนการจ้างงาน วัตถุดิบ และเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ประกอบกับเงินเยนที่อ่อนค่า”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ต.ค. 68)





