คลื่นเลย์ออฟยังถาโถม! Amazon, UPS, Target เหตุเพราะ AI แย่งงานจริงหรือ?

ในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์มานี้ บริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ อาทิ อะเมซอน (Amazon), ยูพีเอส (UPS), ทาร์เก็ต (Target) และอีกหลายบริษัท รวมไปถึงเนสท์เล่ (Nestle) บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ต่างออกมาประกาศปรับลดจำนวนพนักงาน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

คลื่นเลย์ออฟสาดซัดองค์กรใหญ่

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (28 ต.ค.) อะเมซอน บริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ ได้ส่งข้อความแจ้งพนักงานว่า บริษัทจะลดจำนวนพนักงานส่วนสำนักงาน (corporate workforce) ลงประมาณ 14,000 ตำแหน่ง พร้อมเสนอให้พนักงานที่ได้รับผลกระทบเลือกได้ว่าต้องการไปทำงานตำแหน่งอื่นในแผนกอื่นแทน หรือจะเลือกรับแพ็กเกจ ซึ่งรวมถึงเงินชดเชย บริการจัดหางานใหม่ และประกันสุขภาพ

ขณะเดียวกัน ยูพีเอส บริษัทขนส่งและโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่ ได้เปิดเผยในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามว่า บริษัทปรับลดพนักงานฝ่ายปฏิบัติการ (operational workforce) ไปแล้วประมาณ 34,000 ตำแหน่ง ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเลิกจ้างอีกประมาณ 14,000 ตำแหน่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายบริหารด้วย

ด้าน ทาร์เก็ต บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ก็มีแผนที่จะลดพนักงานส่วนสำนักงานลง 1,800 ตำแหน่ง และพาราเมาท์ สกายแดนซ์ (Paramount Skydance) กลุ่มบริษัทสื่อและความบันเทิง เตรียมลดพนักงานลงประมาณ 1,000 ตำแหน่ง เริ่มตั้งแต่วันพุธ (29 ต.ค.) เป็นต้นไป ทั้งยังมีรายงานข่าวจากสื่อท้องถิ่นในลอสแอนเจลิสด้วยว่า พนักงานของพาราเมาท์อาจตกงานเพิ่มอีก 1,000 คน

ขณะที่ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 16 ต.ค. เนสท์เล่ได้ประกาศว่าจะปลดพนักงานจำนวน 16,000 ตำแหน่ง เพื่อเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ในขณะที่บริษัทกำลังรับมือกับแนวโน้มผู้บริโภคที่ไม่แน่นอน

AI แย่งงานจริงหรือ

ที่น่าแปลกใจคือ แม้แต่บริษัทที่ถูกมองว่าเป็น “ผู้ชนะ” ในยุคเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่าง เมตา (Meta) ก็ยังประกาศเลย์ออฟเมื่อไม่นานมานี้ แถมยังเป็นการปรับลดพนักงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ AI เสียด้วย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ริเวียน (Rivian) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ก็อยู่ระหว่างดำเนินการลดจำนวนพนักงานเช่นกัน

สำหรับสาเหตุของการเลย์ออฟนั้นหลากหลาย ตั้งแต่การควบรวมกิจการ การมีระบบบริหารแบบราชการทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงาน ไปจนถึงปัจจัยที่ใหญ่กว่าอย่างปัญหาเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม บางบริษัทก็เปิดเผยอย่างชัดเจนว่า การเข้ามาของเทคโนโลยีได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการแรงงาน หนึ่งในนั้นคือ เช็กก์ (Chegg) บริษัทเทคโนโลยีการศึกษา ที่ประกาศในสัปดาห์นี้ว่าจะลดพนักงานลงถึงประมาณ 45% เนื่องจาก AI กัดกร่อนรายได้ของบริษัท

ด้านซีอีโอของเซลส์ฟอร์ส (Salesforce) ผู้ให้บริการระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) กล่าวว่า การที่ AI มอบประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นนั้นหมายความว่า บริษัทต้องการบุคลากรลดลง

นอกจากนี้ อัตราภาษีศุลกากรก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้ผลกำไรของบางบริษัทลดลง จนต้องตัดสินใจลดพนักงานเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน

ข่าวการเลย์ออฟจากบริษัทเหล่านี้ย่อมเป็นข่าวร้าย หรือเป็นสัญญาณที่ไม่น่ายินดีสำหรับตลาดแรงงานและผู้ที่กำลังมองหางาน ท่ามกลางแนวโน้มการจ้างงานแบบ “ไม่จ้างเพิ่ม ไม่ไล่ออก” (no-hire, no-fire) ที่เกิดขึ้นในปีนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ต.ค. 68)