
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ ประกาศความมั่นใจภายหลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ว่าจะกวาดที่นั่ง สส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ถึง 200 เสียง เพราะจากการสัมผัสกับพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมารู้สึกได้ว่าให้การต้อนรับพรรคเพื่อไทยอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วพรรคเราเองต้องมาพิจารณาตัวเองมองกลับมาที่ตัวเองเพื่อปรับเปลี่ยนหรือว่ายกเครื่อง โดยจะดูตั้งแต่เรื่องผู้สมัคร กลไกในการสื่อสารกับประชาชน และแนวนโยบายพรรค
“วันนี้เราเดินหน้าไปมากแล้ว ด้วยกลไกที่เราดำเนินการทั้งหมดเราเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับพี่น้องประชาชนได้อีกครั้ง สามารถผ่านการเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลได้ เพื่อทำนโยบายที่ดีให้กับประชาชนต่อไป”นายจุลพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยทำนโยบายยังไม่สำเร็จจะกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไปหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เราก็มองการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึงเรื่องแนวนโยบาย หากมองในเรื่องเงินหมื่นมุมหนึ่งเราทำไม่เสร็จจริง ๆ แต่ระยะเวลาในการเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยก็มีเพียงแค่ 2 ปี ไม่สามารถอยู่ครบวาระได้ ระหว่างทางก็เห็นว่ามีอุปสรรคอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เราทำก็คือสามารถดำเนินการนโยบายนี้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง คนที่เได้งินหมื่นไปเป็นกลุ่มเปราะบางหรืออ่อนแอ กลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีรายได้ต่ำ แต่แน่นอนว่าอีกครึ่งทางที่เหลือเราไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้สานต่อ
ส่วนขณะนี้พรรคเพื่อไทยเลือดหยุดไหลแล้วหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า “เลือดไหล”มองเป็นศัพท์ของสื่อใช้กัน ความปวดหัวของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย คือการมีผู้สมัครในเขตหนึ่งเป็นจำนวนมาก ต้องคัดให้เลือกเพียงคนเดียว นี่เป็นความยาก ส่วนคนที่จะไปก็ไปแล้ว คนที่ยังอยู่ก็มีความเข้มแข็งและยึดมั่นอุดมการณ์
อย่างไรก็ตาม การเข้า-ออกของสมาชิกพรรคในช่วงสถานการณ์ที่เข้าใกล้สู่การเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติทางการเมือง พรรคอื่นก็มีการเลือดไหลมีการเข้าและออกรายวันเหมือนกัน ขณะที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัวผู้สมัครมาแล้วกว่า 200 คน และวันที่ 7 พ.ย.จะเปิดตัวอีก 1 ชุด และจะทยอยเปิดตัวเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบ 400 เขต คนที่มีความรัก ความศรัทธา และความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทยก็ยังไหลเข้ามาทุกวัน
“ไม่ได้มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความน่าเป็นห่วงหรือผิดปกติแต่อย่างใด คนออกได้ก็มีเข้าได้ ขณะนี้ตนมีความเชื่อมั่นว่า คนที่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยังคงมีความแข็งแกร่งทางการเมืองและเข้ามาสมัคร และมีอุดมการณ์ตรงกับพวกเรามีมากกว่า”นายจุลพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า วันนี้พรรคเพื่อไทย “ตระกูลชินวัตร” ยังถือเป็นกำลังสำคัญอยู่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ด้วยความผูกพันตระกูลชินวัตร เราปฏิเสธไม่ได้ อย่าไปหลอกตัวเอง ตระกูลชินวัตรมีความผูกพันทางใจอยู่แล้ว แนวคิดริเริ่มอุดมการณ์ก็เริ่มมาจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็เป็นที่รักเคารพของพวกเราทุกคน เป็นอดีตนายกฯ ที่เราเชื่อมั่น แต่การที่กรรมการบริหารชุดใหม่ไม่มีครอบครัวชินวัตรก็เป็นการถ่ายเลือดที่จะทำให้พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความเข้มแข็ง
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตำแหน่งที่ น.ส.แพทองธาร ไม่สามารถลาออกได้คือหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย การขับเคลื่อนในเรื่องสมาชิกพรรค และเรื่องต่าง ๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ขัดกฎหมาย แต่การขับเคลื่อนพรรคเป็นเรื่องของกรรมการบริหารชุดใหม่ที่เป็นแนวทางของพรรค ให้เป็นไปตามเสียงของสมาชิกพรรค และ สส. ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่แยกกันอย่างชัดเจน
ส่วนหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ใครใหญ่กว่ากัน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในส่วนหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเป็นความผูกพันทางใจ แต่หัวหน้าพรรค ตนมีอำนาจในการบริหารจัดการอย่างสมบูรณ์ทุกประการ
เมื่อถามว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ด้วยหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อจำกัดทางกฎหมาย ซึ่ง พรรคกำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่ได้ตัดสินใจ และตนเองก็ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่เราต้องคัดสรรตัวแคนดิเดตนายกฯ ที่ถูกใจและตอบโจทย์ประชาชนให้ได้ ใช้เวลาไม่นาน ขอให้อดทนรอ อีกไม่กี่เดือนก็จะมีการเลือกตั้งแล้วก็จะมีการประกาศเปิดตัว และเชื่อว่าจะเป็นที่ถูกใจ ตอบโจทย์ความเดือดร้อนประชาชนได้
“ยังไม่ได้คิด และพรรคก็ยังไม่ตกผลึก แต่ยืนยันได้ว่า อย่างไรเราก็ต้องส่งแคนดิเดต 3 คน เชื่อว่าทุกพรรคก็ต้องเสนอแบบนี้ ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ แต่เราเป็นพรรคของทุกคน สามารถเชื่อมทั้งคนรุ่นใหม่รุ่นเก่าได้”นายจุลพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ หากสภาฯ เปิดจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ต้องหารือกัน วันนี้ในสภาฯ ก็มีการคุยกัน แม้ไม่ขึ้นตรงต่อวิปฝ่ายค้าน แต่ก็มีการหารือกันว่าเวลาที่เหมาะสมจะเป็นเมื่อไร เราไม่ได้ตรวจสอบจากอารมณ์ แต่จะดูจากข้อมูลว่าเพียงพอหรือไม่ หากอภิปรายแล้วเป็นการฉายหนังเก่าจะเป็นความเสียหายกับพรรคเพื่อไทย ดังนั้น สิ่งที่กำลังทำอยู่คือรวบรวมข้อมูล ทั้งเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน การปัดเป่าคดี การกระทำที่ไม่ถูกต้อง เรื่องจริยธรรมของบุคคลต่าง ๆ ฉะนั้น ต้องรอรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนจึงจะตัดสินใจ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ต.ค. 68)
 
								




