ทรัมป์พูดชัด จีนและประเทศอื่นไม่มีสิทธิ์ครอบครองชิป Blackwell ของ Nvidia

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ (ภาพ: thaigov.go.th)

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า ชิปที่ทันสมัยที่สุดของอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ของสหรัฐฯ จะถูกสงวนไว้สำหรับบริษัทในสหรัฐฯ เท่านั้น และจะไม่ให้จีน รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ได้ครอบครอง

“ชิปที่ทันสมัยที่สุด เราจะไม่ยอมให้ใครมี นอกจากสหรัฐอเมริกา” ปธน.ทรัมป์กล่าวในการบันทึกเทปให้สัมภาษณ์รายการ “60 Minutes” ซึ่งเผยแพร่เมื่อวานนี้ โดยอ้างถึงชิปแบล็กเวลล์ (Blackwell) ซึ่งเป็นชิปที่มีสมรรถนะขั้นสูงสุดของอินวิเดีย

บทสัมภาษณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับที่ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันในขณะเดินทางกลับกรุงวอชิงตันหลังจากใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์ในรัฐฟลอริดาว่า “เราจะไม่ให้ชิปแบล็กเวลล์กับคนอื่น”

การแสดงความเห็นล่าสุดนี้บ่งชี้ว่า ปธน.ทรัมป์อาจจะใช้มาตรการจำกัดการส่งออกชิป AI ขั้นสูงอย่างเข้มงวดมากกว่าที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ โดยในเดือนก.ค. รัฐบาลทรัมป์ได้เผยแพร่รายงาน AI ฉบับใหม่ที่มีเป้าหมายผ่อนคลายกฎระเบียบด้าน AI และขยายการส่งออก AI ไปยังประเทศพันธมิตรในปริมาณมาก เพื่อให้อเมริกายังคงมีข้อได้เปรียบเหนือจีนในเทคโนโลยีที่สำคัญนี้

นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (31 ต.ค.) อินวิเดียเพิ่งเปิดเผยว่า บริษัทจะจัดส่งชิป AI รุ่นแบล็กเวลล์ มากกว่า 260,000 ชิ้นให้กับเกาหลีใต้ และธุรกิจขนาดใหญ่บางแห่งของประเทศ รวมถึงบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (Samsung Electronics)

ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายยังตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ว่า ปธน.ทรัมป์อาจอนุญาตให้จัดส่งชิปแบล็กเวลล์รุ่นย่อส่วนให้กับจีนมาตั้งแต่เดือนส.ค. หลังจากที่เขากล่าวในเวลานั้นว่าอาจจะอนุญาตให้มีการขายชิปรุ่นดังกล่าวให้จีน

อย่างไรก็ดี ทรัมป์กล่าวชัดเจนในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า เขาจะไม่ยอมให้มีการขายชิปแบล็กเวลล์ที่ทันสมัยที่สุดให้กับบริษัทจีน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่จีนจะสามารถซื้อชิปรุ่นที่มีความสามารถน้อยกว่า

“เราจะให้พวกเขา (จีน) ติดต่อกับอินวิเดียได้ แต่ไม่ใช่ในส่วนของชิปที่ทันสมัยที่สุด” ทรัมป์กล่าว

ทั้งนี้ นักการเมืองสายเหยี่ยวในสหรัฐฯ แสดงกังวลเกี่ยวกับการขายชิปแบล็กเวลล์ให้กับบริษัทจีน ไม่ว่ารุ่นใดก็ตาม เนื่องจากเกรงว่าเทคโนโลยีดังกล่าวอาจเพิ่มขีดความสามารถทางทหารและช่วยเร่งการพัฒนา AI ของจีน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 พ.ย. 68)