รัฐย้ำผลหารือนายกฯ ไทย-กัมพูชายึดเงื่อนไข 4 ข้อไม่ย่อหย่อน ยืนยันเปิดด่านเป็นเรื่องสุดท้าย

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยผลหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) ว่า การแถลงข่าววันนี้เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนกรณีเหตุการณ์ชายแดน โดยเล่าย้อนไปถึงตั้งแต่กัมพูชาเข้ามาขุดคูเลต จากนั้นในช่วงเดือนกรกฎาคมก็เป็นช่วงที่ไทยได้ความสูญเสีย คือทหารเหยียบกับระเบิดในบริเวณพื้นที่ตรวจการของฝั่งไทย ทำให้สูญเสียขา 3 ราย และระเบิดลูกแรกของกัมพูชาตกลงฝั่งไทยที่ปั๊มน้ำมันในจังหวัดศรีสะเกษ นำมาซึ่งความสูญเสีย และเราคิดว่าความสูญเสียนี้หนักหนาสาหัสเหลือเกินสำหรับคนไทย เพราะสูญเสียชีวิตพลเรือน 8 คน และมีเด็กอายุ 8 ขวบด้วย เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความโกรธแค้นในความสูญเสียและความเสียใจ

หลังจากนั้นมีการโต้ตอบกัน 4 วัน 5 คืน สูญเสียทหารนับ 10 ราย บาดเจ็บ 666 คน เหตุการณ์นั้นดำเนินมาจนกระทั่งถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ได้มีการลงข้อตกลงหยุดยิงระหว่างรักษาการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นกับกัมพูชาที่มาเลเซีย และเริ่มมีผู้สังเกตการณ์ คือ สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชาจะถูกสังคมโลกจับตามอง สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือไทยกับกัมพูชามีพื้นที่ติดกัน เราไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่วันนี้เรากำลังพูดถึงเมื่อมีแผ่นดินที่ติดกัน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้จะเดินหน้าอย่างไร

แนวทางการปฏิบัติระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น เรายืนยันใน 4 ข้อหลักและวันนี้มีการเซ็นเอกสารเพิ่มเติมคือ Joint Declaration ว่าไทยและกัมพูชาจะดำเนินการอย่างไรต่อกัน พร้อมย้ำว่า ประเทศไม่สามารถเดินหน้าได้ด้วยข่าวลือ แต่ต้องเดินหน้าด้วยข้อเท็จจริง และดำเนินการภายใต้รัฐบาล ทางกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมีการประสานงานพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวทางกันอย่างใกล้ชิดตลอด

“รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ จะนำความสงบสุขกลับมาคืนสู่คนไทยทุกคนในประเทศนี้ โดยยึดหลักที่เราจะไม่เสียดินแดน ไม่เสียอธิปไตย แม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียว ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจะเห็นได้เลยว่า ตั้งแต่นายอนุทิน มาเป็นนายกรัฐมนตรี เราไม่มีดินแดนไทยไหนแม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียวที่เราสูญเสียให้กัมพูชา ไม่มีอวัยวะชิ้นไหนของทหารผู้เสียสละที่จะเสียไปจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เราไม่ได้เห็นเลือดของทหารเหล่านั้นหยดลงบนผืนดินไทย และที่สำคัญที่สุดเราไม่เห็นเลือดของประชาชนที่ต้องไหลลงผืนดินไทยตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นแนวทางต่อไป รัฐบาลมีความตั้งใจอยากจะทำให้ทุกคนเป็นปกติสุข ภายใต้เงื่อนไขรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของไทย” นายสิริพงศ์ กล่าว

ส่วนการเปิดด่านยืนยันนโยบายรัฐบาลชัดเจนมาก ขณะนี้ยังไม่มีการพูดเรื่องเปิดด่าน เพราะการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะพิจารณา ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาต้องทำตามเงื่อนไขในข้อแถลง 4 ข้อ และขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไทยไม่ย่อหย่อน และไม่มีทางที่จะย่อหย่อนต่อกัมพูชาอย่างแน่นอน

โฆษกรัฐบาล กล่าวถึงประเด็นเรื่องเชลย 18 รายว่า กระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อกัมพูชาได้ทำตามข้อตกลง 4 ข้อทั้งหมด ซึ่งขณะนี้นี้อยู่ระหว่างการประเมินว่า กัมพูชาได้ทำตามข้อตกลง 4 ข้อที่ไทยเรียกร้องหรือไม่

ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลแม้ไม่ได้เสียดินแดน แต่ความรู้สึกของประชาชนที่เสียประสาทตาควาย, ประสาทคนา และเนิน 677 รัฐบาลจะเจรจาอย่างไรไม่ให้ไทยเสียประโยชน์ โฆษกรัฐบาล ระบุว่า เรื่องความรุนแรงได้จบไปแล้วตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม รัฐบาลไม่สามารถที่จะไปใช้กำลังรุกรานก่อนได้ แต่แนวทางที่จะทำก็คือ สันติวิธีด้วยการเจรจา ในเรื่องของการปักปันเขตแดน พูดคุยข้อพิพาทที่เป็นปัญหา ซึ่งต้องเป็นเรื่องที่ต้องมาพูดคุยกันในระดับทวิภาคีรวม ซึ่งหมายถึงทุกพื้นที่ ซึ่งยังไม่มีกรอบเวลาในระยะสั้น ซึ่งต้องดำเนินการตาม 4 ข้อตกลงก่อน

ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การทำงานร่วมกันระหว่าง JBC และ GBC ก่อนจะนำมาสู่ Join Declaration โดย GBC ไทยและกัมพูชามีการจัดตั้งมานานแล้ว และมีการพูดคุยกันทุกปี โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ ที่เป็นข้อบังคับว่า JBC จะจัดประชุมได้แค่ครั้งเดียวต่อปี แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาทำให้เราต้องใช้กลไกการเชิญประชุมร่วมกัน ถึงเป็นสมัยวิสามัญ ท้ายที่สุดการเจรจาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สนามสองฝ่ายเข้าสู่สันติ และหัวใจสำคัญคือประชาชน

ข้อตกลงจากการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 ส.ค.คือหยุดยิงโดยอาวุธทุกชนิด ไม่มีการเคลื่อนย้ายตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค. ไม่มีการเพิ่มกำลังเข้ามาตลอดแนวชายแดน ละเว้นการยั่วยุที่จะอาจจะนำไปสู่ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ละเว้นการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร หรือการเสริมความมั่นคงของที่การทหาร งดเว้นการใช้กำลังทุกประเภทต่อคนพลเรือน และเป้าหมายทางพลเรือนโดยเด็ดขาด กรณีที่มีการขัดกันด้วยอาวุธทุกชนิด ให้ทั้งสองฝ่ายหารือกันในระดับพื้นที่ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เร็วที่สุด

ส่วนข้อตกลงในวันที่ 10 ก.ย. ได้ร่วมหยิบยกในประเด็น 4 ข้อ คือการถอนอาวุธหนัก เก็บกู้ทุ่นระเบิดปราบปรามสแกมเมอร์ และการฟื้นฟูนำพื้นที่ที่มีปัญหาไปสู่ความสงบ โดยเรื่องการถอนอาวุธหนัก มีการทำแผนปฏิบัติการในการถอนอาวุธภายในสามสัปดาห์ และเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับข้อกำหนดขอบเขตการปฎิบัติหรือ TOR สำหรับการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ก่อนที่จะมีการเห็นชอบกรอบแนวทางการปฏิบัติ โดยกำหนดวันเริ่มต้น และเห็นชอบขอบเขตการปฎิบัติสำหรับการจัดตั้ง AOT

ทั้งนี้ มีการถอนอาวุธหนัก อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (ประเภท A) ภายใต้ระยะที่ 1 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1-21 พ.ย.68 สำหรับระยะที่ 2 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.-12 ธ.ค.68 และการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระยะที่ 3 (ประเภท C) กำหนดให้ดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 13-31 ธ.ค.68 โดยคาดว่าจะสอนกำลังแล้วเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมระยะเวลา 2 เดือน

พล.ร.ต.สุรสันต์ ยืนยันว่า เป็นแค่การถอนอาวุธหนัก กองกำลังป้องกันชายแดนที่มีการวางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิมนั้น ไม่มีการถอนกำลังใดๆ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนก็จะปฎิบัติหน้าที่เช่นเดิม ขอให้ความมั่นใจว่าเรายังทำโครงการปกป้องอธิปไตยของชาติของประเทศไทยต่อเนื่อง ไม่มีการถอนกำลังพล ถอนขีดความสามารถของเราตามแนวชายแดนใดๆ

สำหรับภารกิจของ AOT เรามีกลไกเป็นตัวกำกับ เพื่อให้รายงานไปยังหน่วยขึ้นตรงหากมีปัญหาใดๆ ทั้งสองฝ่ายจะรายงานไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้สร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่ง ยืนยันว่า เรามีกลไกตรวจสอบและการปฎิบัติเรียบร้อย

ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดถือเป็นประเด็นสำคัญช่วงเวลาที่ผ่านมา GBC มีการประชุมเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยมีการพูดคุยการจัดตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (Joint Coordinating Task Forces : JCTF) โดยมีการหารือ และจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานในการเก็บกู้ทุนระเบิด และกำหนดพื้นที่นำร่องในการเก็บกู้ภายใน 1 เดือน ต่อมาที่ประชุมรับทราบ และจัดตั้งคณะดังกล่าว ก่อนจะบรรลุข้อตกลง SOP ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ โดยฝ่ายกัมพูชาไม่ได้เสนอพื้นที่ใด ๆ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเสนอมาเพียง 1 พื้นที่เท่านั้น โดยทั้ง 13 พื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ตลอดแนวชายแดน และเรามีกลไกเรื่องการเจรจาและพูดคุยเพื่อให้บรรลุการเก็บกู้ทุนระเบิด ย้ำว่า 13 พื้นที่ปฏิบัติการ ที่มีข้อตกลงกับกัมพูชาลักษณะการทำงาน จะแบ่งงานออกไปว่าอธิปไตยของใครก็เป็นของคนนั้น

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าการดำเนินการในเรื่องนี้มีความคืบหน้าไปบ้าง แม้จะมีการขัดขวางจากฝ่ายตรงข้ามแต่ยังยืนยันที่จะเก็บกู้ เพื่อความปลอดภัยทางชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเป็นไปตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา และมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force) มีแผนปฏิบัติการในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ ซึ่งขณะนี้มีการจัดส่งรายชื่อ และจัดตั้งคณะขึ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนการลงนามกันของทั้งสองประเทศเห็นถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว และให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของที่ประชุม GBC

“เรื่องการปราบปรามไซเบอร์สแกมเมอร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง มีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะในปัจจุบัน สแกมเมอร์พัฒนารูปแบบเป็นองค์กรระดับชาติ โดยไทยได้ประสานความร่วมมือกับประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2564 ในการรับตัวคนไทยที่ถูกหลอกลวง และที่สมัครใจ จนกระทั่งปี 2568 ตั้งแต่เดือนมีนาคมได้มีการส่งตัวคนไทยกลับมาดำเนินคดี รวมแล้ว 249 คน ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน ทางไทยได้มอบข้อมูลเป้าหมายที่เป็นจุดสำคัญของไซเบอร์สแกม กว่า 62 เป้าหมายในกัมพูชา ให้กัมพูชาได้ตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ” พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าว

นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร.ได้ลงนามแผนปฏิบัติการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ประกอบด้วย การหลอกลวงไซเบอร์และการค้ามนุษย์ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา โดยหัวใจสำคัญคือเป็นการกำหนดแผนร่วมกัน 8 ข้อ ได้แก่ การแบ่งปันข่าวกรอง 2 ระดับ คือข่าวกรองทั่วไป และข่าวกรองปฏิบัติการ , การป้องกันอาชญากรรม คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยข้ามแดน , การปฎิบัติการพร้อมกัน 2 ประเทศ , การส่งผู้ต้องสงสัยและคุ้มครองเหยื่อ , การประชุมติดตามผล โดยจัดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง , คณะทำงานร่วม ฝ่ายละ 12 นาย พร้อมเจ้าหน้าที่ประสานงานโดยตรง, ระยะเวลาบังคับใช้ ภายใน 2 ปี ตั้งแต่ 23 ต.ค.68 – 22 ต.ค.70 และลักษณะข้อตกลงเป็นความร่วมมือเสริมไม่แทนที่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

สำหรับการบริหารจัดการพื้นที่ขัดแย้งตามแนวชายแดนบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ถือเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา จะต้องดำเนินการให้กลับมาสู่สภาวะปกติ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศสำรวจเส้นเขตแดน และแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของใคร

พล.ร.ต.สุรสันต์ ระบุว่า หากกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ AOT จะเป็นเครื่องมือสำคัญว่ากัมพูชาจะทำตามเงื่อนไขและข้อตกลงกันไว้หรือไม่ และในเงื่อนไขไม่มีการกำหนดเป็นกองกำลังแต่กำหนดเป็นผู้แทนของประเทศในลักษณะกึ่งการทูตที่จะเข้ามา และต้องใช้กลไก AOT เป็นอันแรกก่อน

ขณะที่ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ มีการตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งมีการตั้งศูนย์วอร์รูม และประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วย นอกจากนี้ยังเปิดปฏิบัติการ ซิม สาย เสา โดยเฉพาะการตรวจสอบสายสัญญาณอินเตอร์เน็ต และเสาปล่อยสัญญาณโทรศัพท์อินเตอร์เน็ตในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูล และยกระดับการแก้ไขปัญหาสกัดกั้นการส่งสัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มสแกมเมอร์ รวมถึงโครงการ money cash back เพื่อสกัดกั้นคนที่เข้าไปร่วมกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วนสามารถดำเนินการคืนเงินให้กับผู้เสียหายเร็วสุดภายใน 9 วัน โดยในระยะเวลาอันสั้นที่ได้ดำเนินโครงการมา สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายแล้วกว่า 250 ล้านบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 พ.ย. 68)