
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB FM) ชี้ การอ่อนค่าของเงินบาทในเดือนต.ค. ส่วนใหญ่มาจากราคาทองคำ ขณะที่ปัจจัยด้านแข็งค่า มาจากการส่งออกไทยที่ดีกว่าคาด และ Sentiment ต่อภาวะการค้าโลกที่ดีขึ้น ระยะต่อไป คาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าได้ แต่อัตราการแข็งค่าจะน้อยกว่าช่วงก่อนหน้านี้ มองกรอบระยะสั้น 31.90-32.40 บาท/ดอลลาร์ และช่วงปลายปี อาจแข็งค่าต่อไปที่ 31.70-32.20 บาท/ดอลลาร์ พร้อมประเมินว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกลับมาลดลงอีกได้
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เงินบาทในช่วงเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบที่ประเมินไว้ โดยปัจจัยด้านราคาทองคำ มีผลต่อค่าเงินบาทค่อนข้างมาก หลังจากที่ราคาทองคำสูงขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทองคำในตลาดโลกก็เผชิญแรงเทขายทำกำไร ทำให้ราคาปรับลดลงแรง และพบว่านักลงทุนไทย เทขายทองคำออกมาเช่นกัน โดยแรงขายทองคำกดดันให้เงินบาทปรับอ่อนค่าเร็วในช่วงดังกล่าว
นายแพททริก กล่าวว่า ความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างเงินบาทและทองคำโดยส่วนใหญ่จะไปในทิศทางเดียวกัน คือ หากราคาทองคำสูงขึ้น มักเห็นเงินบาทแข็งค่าตามการขายทองคำในรูปเงินดอลลาร์เพื่อทำกำไร อย่างไรก็ดี ในบางช่วงอาจพบว่า Correlation เปลี่ยนไป ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมอง และพฤติกรรมของนักลงทุน เช่น หากมองว่าราคาทองคำจะขึ้นต่อเนื่อง ก็จะมีแรงซื้อทองคำและเงินดอลลาร์ต่อ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า
ส่วนปัจจัยการเมืองต่างประเทศ ส่งผลทางอ้อม (Indirect effects) มาที่เงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน เช่น การอ่อนค่าของเงินเยนและเงินยูโร โดยการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น ส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่า เพราะมีนโยบายเน้นไปที่การเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดกังวลเรื่องฐานะการคลัง
นอกจากนี้ เงินยูโรก็เผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า เพราะความกังวลในเรื่องการผ่านกฎหมายร่างงบประมาณปี 2026 ของฝรั่งเศสยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ เนื่องจากพรรคของนายกฯ คนใหม่มีคะแนนเสียงไม่พอที่จะโหวตผ่านสภา จึงต้องปรับร่างงบประมาณใหม่เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านด้วย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และส่งผลทางอ้อม ทำให้เงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมา
ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น เริ่มจากความกังวลต่อฐานะของธนาคารภูมิภาคในสหรัฐฯ ที่มีการตัดชำระหนี้เสียสูง ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และยังมีดีลการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้ Sentiment โดยรวมในตลาดเอเชียปรับดีขึ้น นอกจากนี้ การส่งออกไทยออกมาดีกว่าคาดมาก จึงทำให้เงินบาทแข็งค่า
สำหรับมุมมองเงินบาทในระยะสั้น คาดว่าจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าได้ต่อเนื่อง เนื่องจาก
1. ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ.ค. เพราะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณอ่อนแอลงชัดเจนขึ้น สะท้อนจากการปลดพนักงานเอกชนบางแห่ง ซึ่งขณะนี้ตลาดให้โอกาสเพียง 70% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ดังนั้น หาก Fed ลดดอกเบี้ยตามที่เราคาด จะทำให้ US Treasury yields ลดลง และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า กดดันให้บาทแข็งค่าได้
2. เงินยูโร และเงินหยวน มีแนวโน้มแข็งค่าได้ต่อ ซึ่งจะดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง โดยเป็นผลจากโมเมนตัมเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้นในระยะต่อไป ตามการใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ทั้งในยุโรปและจีน
สำหรับทิศทางเงินเยนนั้น โอกาสที่เงินเยนจะอ่อนค่าต่อมีน้อยลง เพราะมีโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเข้าแทรกแซงค่าเงินมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินเยนถูกปรับฐานให้แข็งค่าได้ นอกจากนี้ ช่วงปลายปีมีโอกาสที่ BOJ จะเริ่มส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย โดยอาจขึ้นจริงช่วงต้นปีหน้า ทำให้อาจเห็นเงินเยนเริ่มกลับมาแข็งค่าได้
“อัตราการแข็งค่าของเงินบาท อาจไม่มากเท่าในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เพราะเงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าไทยไม่มากเท่าประเทศอื่นในภูมิภาค และการปรับขึ้นของราคาทองคำ เริ่มชะลอลงแล้ว จึงหนุนบาทได้ไม่มาก โดยมองกรอบเงินบาท 1 เดือนจากนี้ที่ราว 31.90-32.40 บาท-ดอลลาร์สหรัฐ และมองเงินบาทปลายปี มีแนวโน้มแข็งค่าต่ออีกเล็กน้อย ที่กรอบราว 31.70-32.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐไ นายแพททริก กล่าว

ด้าน นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่ราว 32.30-32.80 เป็นระดับที่ผู้ส่งออกอาจพิจารณาขายได้ โดยปัจจัยที่อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าขึ้นไปที่ระดับนี้ อาจมาจากการสื่อสารของ Fed ที่ยังกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อชัดเจน ซึ่งอาจกดดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อได้
นอกจากนี้ หากเงินเยนยังอ่อนค่าต่อ และราคาทองคำปรับลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ดี หากเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามาที่ราว 31.50-32.00 บาท/ดอลลาร์ ผู้นำเข้าอาจพิจารณาซื้อดอลลาร์ได้ โดยหากตัวเลขการส่งออกไทยยังออกมาสูงกว่าคาด หรือความขัดแย้งทางการค้าที่ทุเลาลง หลังทรัมป์ทำข้อตกลงการค้าได้ ก็อาจสนับสนุน Sentiment ในตลาดเอเชียรวมถึงไทย นอกจากนี้ หากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ส่งผลชัดเจนขึ้นอาจทำให้บาทแข็งค่า
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ปรับสูง ขึ้นเป็นผลจาก
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดไว้
 - อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยต่ำ ทำให้ Valuation ต่ำกว่าพันธบัตรประเทศอื่น
 - ความต้องการจากนักลงทุนสถาบันบางกลุ่มทีลดลง รวมถึงมีแรงขายเพื่อทำกำไรจากการถือพันธบัตรรัฐบาลก่อนหน้านี้
 - ความไม่แน่นอนทางการเมือง และมาตรการรัฐที่ออกมาเพิ่ม
 - Bond supply ช่วงที่ผ่านมามีเยอะ ในระยะต่อไปแนวโน้ม Yield curve ของไทยอาจปรับชันขึ้น (Steepen) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (ST yields อายุ 2 ปี) อาจปรับลดลงได้ตามการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในเดือน ธ.ค. และต้นปีหน้า
 
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (LT yields อายุ 10 ปี) อาจปรับลดลงได้น้อยกว่าจาก Term premium ที่สูงขึ้นมาในช่วงนี้ ตาม Demand ที่มีแนวโน้มลดลง และความไม่แน่นอนทางการเมือ งรวมถึงนโยบายรัฐที่อาจใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงที่เข้าใกล้การเลือกตั้งใหม่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 พ.ย. 68)
								




