BCP พลิกทำกำไรแรง Q3/68 ทะลุ 1,108 ลบ.รับอานิสงส์ค่าการกลั่นพุ่ง แม้รายได้รวมหด

บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น [BCP] ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 1,108 ล้านบาท พลิกฟื้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) และช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.80 บาท แม้รายได้จากการขายและบริการจะลดลงเล็กน้อย 2% QoQ เหลือ 123,305 ล้านบาท แต่ EBITDA กลับพุ่งทะลุ 10,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% QoQ และ 43% YoY บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่โดดเด่น

BCP แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 1.11 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.80 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2.09 พันล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 1.61 บาท

ไตรมาส 3/68 กลุ่ม BCP มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 123,305 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) และลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) อย่างไรก็ตาม EBITDA ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 10,269 ล้านบาท มากกว่า 100% QoQ, 43% YoY และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 3,186 ล้านบาท

กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมาก (>100% QoQ) สร้างกระแสเงินสดให้กับกลุ่มบริษัทฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ จากค่าการกลั่นพื้นฐานของกลุ่มบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ 7.38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ได้รับปัจจัยหนุนจาก Crack Spread ของน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน (กลุ่ม Middle Distillates) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปริมาณสต็อกน้ำมันดีเซลในสหรัฐฯ และยุโรปที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี การทยอยปิดโรงกลั่นหลายแห่งในทวีปยุโรป และความกังวลด้านอุปทานจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ประกอบกับอัตรากำลังการกลั่นเฉลี่ยใน ไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 264.9 KBD เพิ่มขึ้น 23.3 KBD เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่โรงกลั่นศรีราชาชะลอการกลั่นเพื่อปรับปรุงหน่วยกลั่นตามแผน

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงมาตรการเพิ่มเติมทางภาษีของสหรัฐฯ และมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียของสหภาพยุโรปส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบระหว่างไตรมาสมีความผันผวน โดยน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในทิศทางขาลง ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่น รับรู้ Inventory Loss 1,218 ล้านบาท ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นอย่างมากของ Crack Spread ในกลุ่ม Middle Distillates ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากการวัดมูลค่า ยุติธรรม (Mark to Market) ของสัญญาซื้อขายส่วนต่างน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า 1,079 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า

ด้าน กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มขึ้น 38% QoQ โดยมีปริมาณการจำหน่ายในตลาดอุตสาหกรรมเติบโตอย่างโดดเด่น จากการขยายตลาดของผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High-Value Products) อาทิ ยางมะตอย และน้ำมันเรือเดินสมุทร ซึ่งสามารถชดเชยปริมาณการขายผ่านสถานีบริการที่ลดลงเนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนได้ทั้งหมด สำหรับค่าการตลาดสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ เติบโตขึ้น 16% QoQ สอดคล้องกับการรับรู้ Inventory Loss ที่ลดลงเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และการเติบโตของผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง โดยกลุ่มบริษัทฯ ยังคงส่วนแบ่งทางการตลาดค้าปลีกอยู่ที่ระดับ 29%

กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น QoQ โดยเฉพาะจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป. ลาว จากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในฤดูมรสุม ประกอบกับเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานลมมอนซูน (Monsoon) ใน สปป. ลาว ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์จนครบทั้งโครงการในเดือน ส.ค. 68 นอกเหนือจากนี้ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น QoQ ทั้งจากค่าความพร้อมจ่าย (Capacity Revenue) ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก $29/MW-day เป็น $270/MW-day ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 68 และจากปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในฤดูร้อนของสหรัฐฯ

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ได้รับแรงหนุนจากราคาไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้น 3% QoQ หนุนให้บริษัทฯ มีกำไรสูงขึ้น ซึ่งสามารถชดเชยปริมาณการจำหน่ายไบโอดีเซลที่อ่อนตัวลดลงตามความต้องการในการบริโภคที่ชะลอตัวในช่วงฤดูฝนได้ ขณะที่ยอดจำหน่ายเอทานอลเพิ่มขึ้นตามแผนบริหารการขายของกลุ่มบริษัทฯ

สำหรับกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีปริมาณการผลิตปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าประมาณการ และมีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 10% QoQ จากการเริ่มผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในหลุมผลิต Sognefjord East ของแหล่งผลิต Brage ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2568 (จากเดิม ก.ค. 68) แม้มีรายการด้อยค่าจากการปรับลดปริมาณสำรองและราคาน้ำมันคาดการณ์ล่วงหน้า (Forward Price) ที่ลดลง แต่ OKEA ยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวก

ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 68 กลุ่ม BCP มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 383,780 ล้านบาท ลดลง 14% YoY EBITDA 26,600 ล้านบาท ลดลง 20% YoY และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 6,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% YoY ทั้งนี้ จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากเฉลี่ยที่ 83 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลใน 9 เดือนแรกของปี 67 เป็น 71 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในรอบ 9 เดือนของปีนี้ อันเนื่องมาจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวตาม ภาวะเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ในด้านอุปทาน กลุ่ม OPEC+ ตัดสินใจเพิ่ม ปริมาณการผลิตต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 เป็นต้นมา ส่งผลกดดันและสร้างความผันผวนต่อราคาน้ำมันดิบ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 68)