OR โชว์งบ Q3/68 พลิกกำไร ส่งซิก Q4 โตต่อเนื่อง พร้อมมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจทุกมิติโตอย่างยั่งยืน

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก [OR] เผยผลการดำเนินการในไตรมาส 3/68 มีรายได้ขายและบริการ 153,600 ล้านบาท ลดลง 13,566 ล้านบาท หรือลดลง 8.1% จากไตรมาสก่อน มี EBITDA จำนวน 4,878 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 326 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจ Mobility ที่กำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหลักจากดีเซลและเบนซิน และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 382 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.1%

ส่วนการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2568 OR มีกำไรสุทธิ 9,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,575 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 98.4% รายได้จากการขายและให้บริการ 503,188 ล้านบาท ลดลง 34,866 ล้านบาท หรือลดลง 6.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลง ประกอบกับปริมาณจำหน่ายที่ลดลงเช่นเดียวกัน ส่วนกลุ่มธุรกิจ Global ลดลง 9.2% จากราคาจำหน่ายเฉลี่ยต่อลิตรที่ปรับลดลง แต่ภาพรวมปริมาณจำหน่ายปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในประเทศฟิลิปปินส์ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 5.2% จากทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ ตามการขยายสาขา และมี EBITDA จำนวน 15,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,135 ล้านบาท คิดเป็น 24.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในทุกกลุ่มธุรกิจ

– กลุ่มธุรกิจ Mobility จากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหลักจากเบนซินและดีเซล

– กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปรับเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะ Cafe Amazon ในช่วงไตรมาส 3/68 มีปริมาณจำหน่ายรวม 109 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 2 ล้านแก้วจากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 11 ล้านแก้ว หรือ 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

– กลุ่มธุรกิจ Global ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยยังคงมีการเติบโตในประเทศ สปป. ที่มีกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรสูงขึ้น จึงทำให้ผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มธุรกิจต่างประเทศยังคงอยู่ในทิศทางบวก ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 OR มีกำไรสุทธิจำนวน 9,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,575 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 98.4% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.77 บาท

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของ OR ในไตรมาสที่ 4/68 มีปัจจัยที่อาจส่งผลการดำเนินการของ OR จากภาคการท่องเที่ยวที่แนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดย OR ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธุรกิจ Mobility ทั้งในด้านการขายปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น โดยได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอากาศยาน ขณะเดียวกัน OR ยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายสถานีบริการ PTT Station และสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ด้านกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปัจจุบันมีเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม 4,729 สาขา ไม่ว่าจะเป็น Cafe Amazon, Pearly Tea และ Pacamara Coffee Roasters โดยเฉพาะ Cafe Amazon ที่มีเครือข่ายทั้งสิ้น 4,613 สาขา ทั้งในและต่างประเทศ สำหรับร้านค้าปลีกอื่น ๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ 7-Eleven และ จิฟฟี่ ในประเทศไทย 2,347 สาขา รวมทั้งร้านค้าปลีกด้านสินค้าสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ found & found ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 12 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 50 สาขาในปี 2569 ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศธุรกิจของ OR ในการสร้างประสบการณ์ครบวงจรสำหรับผู้บริโภค

นอกจากนี้ ในกลุ่มธุรกิจ Global แม้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ยังคงมีการเติบโตในประเทศ สปป. ลาว ในขณะเดียวกันนโยบายการค้าและการลงทุนทั่วโลกที่มีความไม่แน่นอนจากผลของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อภาวะตลาดและการตัดสินใจลงทุน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ท้าทายและอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ OR

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 68)