
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้แนวโน้มอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีการปฏิรูปประสิทธิภาพภาครัฐให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน ประกอบกับมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อย ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินการเพื่อปฏิรูปกิจการภาครัฐ
ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยล่าสุดปี 2568 โดย International Institute for Management Development-IMD พบว่า ประสิทธิภาพภาครัฐปรับตัวลดลงต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยร่วงลงมาจากอันดับ 25 ในปี 2567 มาอยู่ที่อันดับ 30 ในปีนี้
นอกจากนี้ยังมีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการมาก การดำเนินธุรกิจก็ต้องมีการขอใบอนุญาตมากมาย มีขั้นตอนมาก บางกฎหมายก็ล้าสมัยและซ้ำซ้อน มีการใช้ดุลยพินิจโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐสูงเป็นช่องทางของการทุจริตคอร์รัปชันได้เสมอ โดยมีข้อเสนอแนะ 6 ประการเพื่อยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐให้ดีขึ้น ดังนี้
1.ลดขั้นตอน ลดใบอนุญาตที่ไม่จำเป็น ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน ออกแบบบริการโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
2.ปรับระบบภาครัฐให้มีความยืดหยุ่นสูง ลดขั้นตอนการอนุมัติต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นลง มีระบบรับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง
3.กระจายอำนาจการบริหาร กระจายอำนาจทางการคลังและการงบประมาณ
4.Digital Government Platform: รวมบริการภาครัฐไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น e-Government, e-Payment, e-Procurement การใช้ระบบธุรกรรมออนไลน์ ระบบอิเลคทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติ ใช้เทคโนโลยีเอไอในการให้บริการมากขึ้น ขณะเดียวกันสามารถเพิ่มความโปร่งใสโดยใช้ นโยบาย Open Government เปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ประชาชนเข้าถึงง่าย ลดโอกาสทุจริต ใช้ระบบตรวจสอบอัตโนมัติและช่องทางร้องเรียนที่ปลอดภัย
5.ใช้ Big Data และ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับนโยบายให้ตรงกับความต้องการประชาชน
6.ลดระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการ เปิดโอกาสให้คนมีความรู้ความสามารถ มีจริยธรรมก้าวมาสู่ตำแหน่งสำคัญ แก้ปัญหาการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง มีการประเมินผลงานตามระบบคุณธรรม
ส่วนข้อเสนอให้ขยายอายุเกษียณราชการทั้งระบบนั้นไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหาสังคมสูงวัย กำลังแรงงานที่ลดลงจากสังคมสูงวัยนั้นเกิดขึ้นนอกระบบราชการ ขณะที่ระบบราชการมีคนหนุ่มสาวรอเข้าระบบราชการนับแสนคนไม่สามารถรับการบรรจุเป็นข้าราชการได้เพราะรอตำแหน่งว่างจากการเกษียณอายุ เมื่อขยายอายุเกษียณออกไปอีกจะทำให้ปัญหาคนหนุ่มสาวที่อยากรับราชการไม่สามารถเข้าสู่ระบบราชการได้เพิ่มขึ้นไปอีก หมายความว่าแรงงานที่ต้องการเข้ารับราชการนั้นมีมากกว่าตำแหน่งที่ว่าง สะท้อนกำลังแรงงาน “ข้าราชการ” ไม่ได้ขาดแคลนแต่อย่างใด หากจะขาดแคลนก็จะมีเฉพาะงานบางอย่างเท่านั้น ซึ่งควรจะมีการขยายอายุเกษียณเป็นรายกรณีเป็นรายปีไป หรือผู้ที่เกษียณที่มีความสามารถและยังสามารถทำงานได้ หน่วยงานก็สามารถตั้งเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นผู้บริหารได้อยู่แล้ว
การขยายอายุเกษียณทั้งระบบจะทำให้ภาครัฐต้องแบกรับภาระทางงบประมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก และโดยฐานะทางการคลังขณะนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากระบบเงินเดือนของข้าราชการนั้น เงินเดือนจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้เกษียณ หากขยายอายุเกษียณ รัฐก็จะต้องจ่ายเงินเดือนข้าราชการเพิ่มขึ้น ผลิตภาพของทั้งระบบราชการก็ไม่เพิ่มขึ้น ผลิตภาพของแรงงานโดยเฉลี่ยจะลดลงเมื่ออายุเกิน 55-60 ปี และ การปรับตัวให้เท่าทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ก็ด้อยลงอีกด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับการขยายอายุเกษียณในระบบของเอกชนหรือแรงงานในระบบประกันสังคมจะมีความแตกต่างกัน เพราะกรณีของเอกชนและแรงงานในระบบประกันสังคมจะตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัยและลดภาระการจ่ายเงินบำนาญชราภาพของกองทุนประกันสังคม ขณะที่
เศรษฐกิจไทยควรลดการพึ่งพาทางเทคโนโลยีจากต่างชาติเพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว เราจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองจากผู้ใช้และผู้ซื้อเทคโนโลยีจากต่างชาติ มาเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมบ้าง ในหนังสือ The Politics of Innovation โดย Mark Zachary Taylor มองว่า ปัจจัยที่ใช้ขับเคลื่อนชาติ “นวัตกรรม” ได้อย่างแท้จริงคือแนวคิด “ความไม่มั่นคงเชิงสร้างสรรค์” (Creative Insecurity) ตีคู่ไปกับ “การทำลายล้างที่สร้างสรรค์” (Creative Destruction) มันคือ กลไกพลิกเกม ที่สามารถรับมือความท้าทาย แรงเสียดทานทางการเมือง ภายในประเทศได้ทุกรูปแบบความไม่มั่นคงที่ว่านี้ไม่ใช่แค่การรับรู้ถึงภัยคุกคามระยะสั้น แต่คือ การประเมินภัยคุกคามภายนอกที่ร้ายแรงและต่อเนื่อง ซึ่งบีบให้ชนชั้นนำต้องบรรลุฉันทามติทางการเมืองอย่างฉับพลัน เพื่อทุ่มทรัพยากรและปลดล็อก “เสาหลักนวัตกรรม”
การสร้างนวัตกรรมจึงไม่ได้เกิดจากความอยากทำ แต่เกิดจากความจำเป็นในการอยู่รอด ตัวอย่างของญี่ปุ่นในอดีต เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และ จีน แสดงให้เห็นว่า ประเทศเหล่านี้ได้เปลี่ยน “ความเปราะบางทางยุทธศาสตร์” ให้กลายเป็นเครื่องกำเนิดนวัตกรรมระดับโลก ใช้อำนาจทางการเมืองในการสร้างอำนาจทางเทคโนโลยีแห่งชาติได้อย่างเฉียบขาดในสมรภูมิโลกยุคดิจิทัล ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เรียกสิ่งนี้ว่า “อธิปไตยทางนวัตกรรม”
กรณีที่สหรัฐฯ Shutdown ยืดเยื้อจะกดดันค่าเงินดอลลาร์ เศรษฐกิจสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นผู้บริโภค สร้างความไม่ชัดเจนต่อทิศทางเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ย คาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรอดูผลกระทบจากการ Shutdown อย่างไรก็ตาม US Government Shutdown ได้ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมการบินแล้ว มีการยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว รวมทั้งทำให้โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ชะลอตัวลง หากการ Shutdown ไม่ยืดเยื้อถึงช่วงปลายปีคาดการณ์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลกจำกัด และสามารถพลิกฟื้นกลับมาหลังที่ทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ บางส่วนที่ปิดไปก่อนหน้านี้สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปรกติ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 พ.ย. 68)




