SMO ปิดเทรดวันแรก 4.10 บาท ต่ำจอง 24.07%

SMO ปิดเทรดวันแรก 4.10 บาท ลดลง 24.07% หรือลดลง 1.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,160.88 ล้านบาท จากราคาเปิด 4.50 บาท ราคาสูงสุด 4.78 บาท ราคาต่ำสุด 4.10 บาท และราคา IPO 5.40 บาท

บล.กรุงศรี ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ บมจ. กลุ่มสมอทอง [SMO] ปี69F ที่ 7.50 บาท/หุ้น ด้วยวิธี PE 8.1 เท่า คำนวณจากค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปี ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกันได้แก่ UVAN และ UPOIC เรามองว่าบริษัทมีความน่าสนใจจากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 66 และ ปรับปรุงกระบวนการผลิตแล้วเสร็จก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ทำให้คาดผลการดำเนินงานปี68 จะเติบโตสูง เนื่องจาก utilization rate เพิ่มขึ้น และส่งผลให้ GPM และ Net profit margin ปี 68-70 ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มในปี 69 หลังเข้าจดทะเบียนในตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการน้ำมันปาล์มดิบทั่วโลกที่มีเพิ่มขึ้น

SMO ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง และจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยเริ่มประกอบการในเชิงพาณิชย์ในปี 2553 มีกำลังการผลิต 45 ตันผล ปาล์มสดต่อชั่วโมง ต่อมาในปี 2567 บริษัทได้ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการบริษัท เอ แอล ปาล์ม จำกัด (“AL”) จังหวัดชุมพร โดยภายหลังการเข้าซื้อกิจการบริษัทถือหุ้นใน AL และการปรับปรุง ประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ส่งผลให้ปัจจุบัน SMO มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 240 ตันผลปาล์มสด ต่อชั่วโมง และมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 315 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมงในปี 69 ซึ่งจะ ขยับขึ้นมาเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบเบอร์ต้นของประเทศไทย

อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มดิบโลกอยู่ในภาวะสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน โดยอินโดนีเซียและ มาเลเซียครองสัดส่วนการผลิตรวมกว่า 80-85% ของตลาดโลก ขณะที่การขยายพื้นที่ปลูกใหม่ ชะลอตัวจากข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้อุปทานเติบโตจำกัด ในด้านอุปสงค์อินเดียเป็นผู้ นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นราว 18-20% ของปริมาณการซื้อทั้งหมด โดยความต้องการ เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเทศกาลและราคาน้ำมันปาล์มที่ถูกกว่าน้ำมันถั่วเหลืองอย่างมีนัยสำคัญ โดย ประเทศไทย เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 3 ของเอเชีย ได้รับอานิสงส์จากผลปาล์มสด (FFB) ปรับตัว ดีขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและอายุของต้นปาล์มเข้าสู่ช่วงให้ผลเต็มที่ อุปสงค์ในประเทศ ขยายจากภาคอาหาร อย่างไรก็ดีราคายังมีแนวโน้มผันผวนตามตลาดน้ำมันพืชโลกและนโยบาย ด้านพลังงานของแต่ละประเทศ

เราคาดว่าในปี 68-70 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 703 ลบ. / 848 ลบ. / 879 ลบ. ตามลำดับ หรือมี อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ย +51% CAGR เนื่องจากคาด 1) ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจาก การขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตแล้วเสร็จ 2) คาด Utilization rate เพิ่มขึ้นเป็นราว 60% จาก 53% ในปี 2567 ผลจากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหลังในการปรับปรุง กระบวนการผลิตในช่วง 1H67 ขณะที่ในปี 2568 สามารถกลับมาผลิตตามปกติ หนุน GPM เพิ่มขึ้น ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบส่งผลให้กลุ่มบริษัทสามารถบริหาร ต้นทุนขายได้ดีขึ้น

เราประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SMO ในปี 2569F ที่ 7.50 บาท/หุ้น ด้วยวิธี PE 8.1 เท่า คำนวณจากค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปีของบริษัทที่ ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกันได้แก่ UVAN และ UPOIC ความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบประมาณการกำไรสุทธิ ได้แก่ 1) ความผันผวนของราคาน้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil: CPO) ทำให้รายได้ ของบริษัทมีความผันผวน 2) การผันผวนของราคาและการขาดแคลนวัตถุดิบผลปาล์มสด (FFB) มีผลต่อต้นทุนผันผวน 3) ความเสี่ยงจากความ ผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 68)