
บมจ.บ้านปู [BANPU] รายงานผลดำเนินงานในไตรมาส 3/68 ยังสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 33 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 1,055 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 829 ล้านบาทในไตรมาส 3/67 ด้วยกลยุทธ์ “Energy Symphonics” เฟสใหม่ บ้านปูมุ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลักใหม่ พร้อมเสนอแผนการปรับโครงสร้างที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านที่มั่นคงและยั่งยืน
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU ระบุว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/68 สะท้อนถึงการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมั่นคง ท่ามกลางสภาพตลาดพลังงานที่มีปัจจัยท้าทาย ในไตรมาสนี้เราได้ประกาศเฟสใหม่ของกลยุทธ์ Energy Symphonics หลังจากที่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อปลดล็อกมูลค่าและเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับกลุ่มบ้านปู รวมทั้งยังช่วยให้บ้านปูสามารถต่อยอดโอกาสการเติบโตในห่วงโซ่คุณค่าพลังงาน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการใช้เทคโนโลยี AI ที่ขยายตัวทั่วโลก”
แผนการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ช่วยให้เกิดการจัดระเบียบกลุ่มธุรกิจหลักภายใต้กลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ ใหม่เป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ Next-Gen Mining (เหมืองยุคใหม่) ที่ยกระดับการทำเหมืองด้วยเทคโนโลยี AI และเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตแร่แห่งอนาคต US Closed-Loop Gas (ก๊าซธรรมชาติครบวงจรในสหรัฐฯ) ที่รวมสินทรัพย์ด้านพลังงานก๊าซในสหรัฐฯ ให้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ BKV Power+ (ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง) ขับเคลื่อนธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนและพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) การซื้อขายพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานของก๊าซธรรมชาติ และ Future Tech (เทคโนโลยีแห่งอนาคต) ที่เชื่อมโยงกับศูนย์ข้อมูล (Data Center) และนวัตกรรมด้านพลังงาน
ในไตรมาส 3/68 กลุ่มธุรกิจเหมืองยุคใหม่ (Next-Gen Mining): ผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ปริมาณการขายในอินโดนีเซีย จีน และมองโกเลียเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ในขณะที่ออสเตรเลีย การย้ายเครื่องจักรตามแผนใน 2 เหมืองทำให้ปริมาณการขายลดลง ภาพรวมยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับการบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติครบวงจรในสหรัฐฯ (U.S. Closed-Loop Gas): ปริมาณการขายรวมเพิ่มขึ้น 3% เทียบกับไตรมาสก่อน จากการเริ่มรับรู้ผลประกอบการจากแหล่งก๊าซธรรมชาติ Bedrock ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ต ทั้งนี้ ราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ปัจจุบันอยู่ที่ระดับกว่า 4 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู (MMBtu) โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณก๊าซสำรองในประเทศที่ลดลงประกอบกับความต้องการพลังงานและไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยี AI และธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) รวมถึงการขยายตัวของการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สำหรับธุรกิจ CCUS โครงการ Barnett Zero รายงานปริมาณกักเก็บคาร์บอนในไตรมาสนี้ จำนวน 44,000 ตัน
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 ต.ค.6 BKV Corporation (BKV) ได้ตกลงเข้าซื้อหุ้น 25% ในบริษัท BKV-BPP Power, LLC (Power JV) ซึ่งประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ จาก Banpu Power US Corporation (BPPUS) (บริษัทย่อยที่ BPP ถือหุ้น 100%) ทำให้ BKV ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 75% และคาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 1/69 การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยเสริมกลยุทธ์ก๊าซธรรมชาติครบวงจรของ BKV และทำให้ BKV สามารถรวมงบการเงินของ Power JV ได้
กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Power+): ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและพลังงานหมุนเวียน มีกำลังผลิตรวมอยู่ที่ 4,920 เมกะวัตต์ โดยในไตรมาส 3/68 โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั้งในไทย ลาว จีน มีผลประกอบการที่ดี ทั้งค่าความพร้อมจ่าย (EAF) และต้นทุนที่ลดลง ในขณะที่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา มีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Factor) ที่สะท้อนถึงการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน
โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย โดยรวมมีผลดำเนินงานที่มีเสถียรภาพ การก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จินหู เฉียนเฟิง (Jinhu Qianfeng) ในจีน คืบหน้าตามแผน คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 69 ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 1,900 เมกะวัตต์ชั่วโมง
การก่อสร้างโครงการวูรีน (Wooreen) ในออสเตรเลีย กำลังการผลิตติดตั้ง 350 เมกะวัตต์ และความจุพลังงานไฟฟ้า 1,400 เมกะวัตต์ชั่วโมง คืบหน้าตามแผนและคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 70 สำหรับธุรกิจการซื้อขายไฟฟ้าในญี่ปุ่น ช่วง 9 เดือนของปี 68 สามารถจำหน่ายไฟฟ้ารวม 5,325 กิกะวัตต์ชั่วโมง ให้บริการลูกค้ารวม 1,875 ราย โดยได้มีการนำระบบ AI คาดการณ์ราคาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไร
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีแห่งอนาคต (Future Tech) ปัจจุบันมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดกำลังการผลิตรวม 3.2 กิกะวัตต์ชั่วโมงและธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (E-Mobility) ซึ่งบริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 876 คัน เร็ว ๆ นี้ บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการโซลาร์รูฟท็อป กำลังการผลิตรวม 227 เมกะวัตต์ ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะในเวียดนาม 2 แห่ง ได้แก่ อมตะซิตี้ ฮาลอง และอมตะซิตี้ ลองถั่น โดยจะเริ่มดำเนินการในช่วงต้นปี 69 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center)เพื่อเสริมแกร่งให้ระบบนิเวศพลังงานสะอาดของกลุ่มบ้านปู
ในไตรมาส 3/68 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 1,358 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 43,878 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 296 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9,560 ล้านบาท) และมีผลกำไรสุทธิจำนวน 33 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,055 ล้านบาท) (รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวน 12.54 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยบริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยในการดำเนินงาน ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน บริหารต้นทุน สร้างกระแสเงินสด และเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารพอร์ตธุรกิจ
สำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจในเฟสใหม่ คณะกรรมการมีมติอนุมัติโครงสร้างธุรกิจในเฟสใหม่ของกลยุทธ์ Energy Symphonics โดยถือเป็นการสร้างคุณค่าให้กับกลุ่มบ้านปูอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ด้านโครงสร้าง เพิ่มความชัดเจนในแต่ละกลุ่มธุรกิจหลัก ด้านกลยุทธ์ สร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ และด้านการเงิน สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ในตลาดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงิน ทั้งนี้ หากผ่านกระบวนการต่าง ๆ ในการควบบริษัท (Amalgamation) ระหว่าง BANPU และบมจ.บ้านปู เพาเวอร์ [BPP] เป็นที่เรียบร้อย คาดว่าจะจัดตั้งบริษัทใหม่ หรือ “NewCo” และนำ NewCo เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในไตรมาส 3/69
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ย. 68)





