PTG อานิสงส์ Non-Oil ดันกำไร Q3 กระฉูด 185% “พันธุ์ไทย” โตกว่า 3 เท่า ชู Max Card ขับเคลื่อนหลัก

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี [PTG] เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.4% YoY และมีกำไรต่อหุ้น 0.12 บาท เพิ่มขึ้น 192.2% YoY การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมาจากการขยายตัวของกำไรขั้นต้นและสัดส่วนรายได้ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นต่อลิตรในธุรกิจ Oil และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ดีขึ้น

รายได้จากการขายและการให้บริการ 53,706 ล้านบาท ลดลง 1.3% YoY ปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil มีราคาขายปลีกเฉลี่ยลดลง 5.8% YoY ตามภาวะราคาน้ำมันโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำ ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของกลุ่ม โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 6,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.8% YoY และ 8.8% QoQ

ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยรายได้เติบโตกว่า 3 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 163.3% YoY และ 23.7% QoQ เป็น 1,508 ล้านบาท จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเป็น 1,885 สาขา เพิ่มขึ้น 67.4% YoY หรือคิดเป็น 759 สาขา เทียบเท่ากับอัตราการขยายมากกว่า 2 สาขาต่อวัน และเพิ่มขึ้น 14.8% QoQ หรือ 243 สาขา และยอดขายจากสาขาเดิม (Same-Store-Sales) ที่เติบโตต่อเนื่องในระดับ 40–50% YoY

นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาแบรนด์ในเชิงคุณภาพ และมุ่งเน้นการพัฒนาเมนูที่มีเอกลักษณ์และเพิ่มทางเลือกในการปรับแต่งเมนูเครื่องดื่ม (DIY) เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค และเสริมด้วยฐานลูกค้าสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ที่มีความแข็งแกร่งในการใช้บริการภายใต้ระบบนิเวศ Max World ที่ยังคงกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ไทยที่สามารถเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ขณะที่กำไรขั้นต้น (Gross Profit) เท่ากับ 4,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% YoY และ 2.0% QoQ ได้แรงหนุนจากรายได้ธุรกิจ Non-Oil ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่สูงถึง 39.3% ขณะที่ธุรกิจ Oil มีกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันที่เหมาะสม

สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการธุรกิจ Oil มีจำนวน 47,593 ล้านบาท โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,591 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 0.9% YoY และแม้การขยายสถานีบริการจะเติบโตเพียง 1.3% YOY มาอยู่ที่ 2,250 สถานี แต่บริษัทยังคงมุ่งเน้นการเติบโตเชิงคุณภาพ โดยเน้นการปรับปรุงสถานีเดิมให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในช่องทางค้าปลีกเป็น 21.5% ในไตรมาสนี้

ส่วนธุรกิจก๊าซ LPG มีรายได้ 2,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% YoY และ 4.3% QoQ ปริมาณการจำหน่ายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโต 6.2% YoY และ 1.1% QoQ เป็น 104 ล้านกิโลกรัม โดยบริษัทยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดปริมาณการจำหน่ายหน่ายก๊าซ LPG ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับที่ 1 ที่ 32.6%

นายพิทักษ์ กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินพัฒนาธุรกิจ Non-Oil ให้มีความหลากหลายผ่านแบรนด์ในเครือ อาทิ สถานีบริการก๊าซ LPG และก๊าซหุงต้ม PT, Max Mart, Coffee World, Subway, Autobacs, Max Camp, Maxnitron, EleX by EGAT PT รวมถึงสถานีบริการรูปแบบใหม่ GIGA EV จากฐานลูกค้าสมาชิกรวมกว่า 27 ล้านรายทั่วประเทศ เป็นกลไกหลักสนับสนุนการเติบโต

อีกทั้งบริษัทยังคงเป้ารายได้จากธุรกิจ Non-Oil ทั้งปีจะเติบโตอยู่ในช่วง 30-40% YoY และกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 35-40% โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 บริษัทมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil อยู่ที่ 35.9% สอดคล้องกับเป้าประมาณการ นอกจากนี้ บริษัทยังคงเป้าขยาย Non-Oil Touchpoints ให้ครบ 3,634 สาขาภายในสิ้นปี 68

ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในไตรมาส 4/68 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศคาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัว จากมาตรการการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” จากภาครัฐ โดยบริษัทฯ ยังคงเป้าการเติบโตของปริมาณจำหน่ายน้ำมันปี 68 อยู่ในกรอบ 1-3% YoY และตั้งเป้าขยายสถานีบริการให้ครบ 2,279 สถานีภายในสิ้นปี มุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐานการให้บริการและการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านระบบสมาชิก เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงของส่วนแบ่งตลาดในภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงท้าทาย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 68)