
นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงศรี เปิดเผยว่า บริษัทมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารเพิ่มชึ้นมาที่ 714,755 ล้านบาท เติบโต 10% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม 3% โดยกองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัทและมีการเติบโตโดดเด่นถึง 13% ตั้งแต่ต้นปี สูงกว่าอุตสาหกรรม 6% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 57,000 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิทั้งหมด
ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ ก.ย. 68) โดยกองทุนรวมที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กองทุนกรุงศรีสมาร์ทตราสารหนี้–สะสมมูลค่า (KFSMART-A) มีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 35,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้น และกองทุนกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้-สะสมมูลค่า (KFAFIX-A) ซึ่งมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 39,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลาง”
สำหรับแผนธุรกิจปี 69 คาดว่า AUM เติบโต 16% มาที่ 804,000 ล้านบาท โดยจะมาจากธุรกิจกองทุนรวม 618,000 ล้านบาท เติบโต 18% ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 124,000 ล้านบาท เติบโต 14% และธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 62,000 ล้านบาท เติบโต 6%
ในปี 69 บริษัทยังคงมุ่งพัฒนากองทุนและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาวะตลาด โดยเพิ่มความหลากหลายของกองทุนสกุลเงินต่างประเทศ รวมถึงกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนรายย่อยและผู้ลงทุนรายใหญ่ พร้อมขยายช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งยกระดับประสบการณ์ใช้งานผ่าน @ccess Mobile อย่างต่อเนื่อง
ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลกปี 69 นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น หลายประเด็นมีความชัดเจน เช่น การผ่อนคลายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าที่ลดลง และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่าจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่องจาก
การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้เศรษฐกิจประเทศหลักจะฟื้นตัวแตกต่างกัน แต่ภาพรวมยังอยู่ในทิศทางขยายตัว เห็นได้จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวและเงินเฟ้อใกล้ระดับเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจจีนยังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของการบริโภคและปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการปรับขึ้นค่าจ้างและนโยบายของรัฐบาลใหม่
“ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดตราสารหนี้เริ่มฟื้นตัวจากทิศทางการลดดอกเบี้ย ซึ่งเหมาะกับการทยอยลงทุนของนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจโลกมาจากการเติบโตของเทคโนโลยีและ AI รวมถึงการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และการยุติการลดขนาดงบดุลของเฟด (QT) วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดโลก แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาการเมืองฝรั่งเศสที่อาจนำไปสู่วิกฤติในยุโรป และการแทนที่แรงงานด้วย AI ที่ส่งผลต่อการว่างงาน”
ให้เป้าดัชนี SET ปี 69 ที่ 1,430 จุด
นายฑลิต โชคทิพย์พัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 68 เผชิญเรื่องท้าทายตั้งแต่ต้นปี ด้วยแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดมียอดคงค้าง 2.3 แสนล้านบาท ตามมาด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวไทย มาตรการภาษีของสหรัฐ และปัญหาการเมือง
แต่ในปี 69 ความคาดหวังแรงขับเคลื่อนจากท่องเที่ยวลดลง ขณะที่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น อาจจะไม่ได้เห็นหุ้นแรลลี่เหมือนในอดีตทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ด้วย อย่างไรก็ดี แรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะน้อยลงเพราะมีสัดส่วนถือหุ้นไทยน้อยมากแล้ว แต่จุดเด่นของหุ้นไทยยังมีก็คือ ผลตอบแทนเงินปันผลสูงมากกว่า 4%
บลจ.กรุงศรี ให้เป้าดัชนี SET ปี 68 ที่ 1,320 จุด และปี 69 ให้ไว้ที่ 1,430 จุด บน P/E 15 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโต 6-7% หรือราว 94-95 บาท จากปี 68 ที่ 89 บาท โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยมี downside 15%
ตราสารหนี้ยังน่าลงทุนในภาวะดอกเบี้ยขาลง
นางสาวพรทิพา หนึ่งน้ำใจ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ภาพรวมตราสารหนี้ในปี 68 ธุรกิจกองทุนรวมเติบโตจากกองทุนตราสารหนี้ไทยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเข้าสู่แนวโน้มขาลง และเก็งครึ่งแรกของปี 69 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง มาสู่ 1.00-1.25% จากปัจจุบัน 1.50% เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัวต่อเนื่องในปี 68-69 อัตราเงินเฟ้อติดลบในปีนี้และยังต่ำกว่า 1% ในปีหน้า
ขณะเดียวกัน ตราสารหนี้สหรัฐน่าจะเปิด upside ทำกำไรหรือมีอัตราผลตอบแทนได้มากกว่าตราสารหนี้ไทย โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ที่ 4% และมีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 3% ฉะนั้น จึงแนะนำให้เลือกลงทุนตราสารหนี้ทั้งไทยและสหรัฐ
ธีม AI ยังมาแรงพ่วง Healthcare
นายจาตุรันต์ สอนไว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า บรรยากการการลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐผ่อนคลายมากขึ้น แนวโน้มเฟดปรับลดดอกเบี้ยยังมีอยู่แม้ว่าในเดือนธ.ค.คาดว่าเฟดจะยังตรึงดอกเบี้ยอยู่ก็ตาม และในวันที่ 1 ธ.ค. 68 สหรัฐจะยุติการทำ QT จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบและเป็นแรงหนุนสำคัญต่อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง
ส่วนความกังวลฟองสบู่ AI กดดันราคาหุ้นธีมนี้ลงมามาก อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นสหรัฐจะแพงแล้วแต่ยังควรลงทุนต่อเนื่อง (Stay Invest) แม้อัตราการเติบโตไม่มากเหมือนก่อน แต่คุณภาพของหุ้นมีมากขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง จากราคาหุ้นที่ถูกและมีปัจจัยหนุนผลประกอบการชัดเจนมากขึ้น
นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ธีมการลงทุนที่น่าสนใจมี 4 ธีม
– ธีม AI สหรัฐ เป็นธีมการลงทุนที่สำคัญที่สุดในปี 69 ต่อเนื่องจากปี 68 แม้ราคาสูง มองว่ายังไม่ได้เกิดฟองสบู่แตก
– ธีมหุ้นสหรัฐ ยังน่าสนใจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ปี 69 จะได้รับอานิสงส์จากกลุ่ม AI และมาตรการลดภาษี One Big Beautifull Bill
– ธีมเทคจีน จากจีนพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีทำให้มีการพัฒนา AI อย่างรวดเร็ว และ Valuation ยังถูกว่าหุ้นเทคสหรัฐ
– ธีม Healthcare ปัจจัยลบที่กดดันผ่อนคลายลงหลังสหรัฐฯตกลงผ่อนปรนภาษียาให้ผู้ผลิตนอกประเทศ และราคาหุ้นไม่แพง ปัจจุบัน Valuation discount 14%
นายเกียรติศักดิ์ แนะนำจัดพอร์ตกองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ สัดส่วน 45% กองทุนหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 48% โดยเกินครึ่งเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ที่มีธีมหุ้นเทค หุ้นกลุ่ม Healthcare ส่วนกองทุนหุ้นไทยแนะนำถือ 2% และกองทุนทองคำ 5%
“โดยสรุปการจัดพอร์ตปี 69 แนะนำให้กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ แต่หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสเติบโตสูงสุด อัตราเงินเฟ้อสหรัฐแม้ขยับขึ้นจากผลของมาตรการภาษี แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่นโยบายการเงินและการคลังของประเทศหลักทั่วโลกยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านตราสารหนี้ระยะกลางยังให้ผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและช่วยลดความผันผวนของพอร์ต ส่วนทองคำควรมีสัดส่วน 5-10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แม้ระยะสั้นราคาจะปรับตัวขึ้น แต่ระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยแนะนำการทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว”นายศิระ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 พ.ย. 68)




