ครม.ญี่ปุ่นไฟเขียวงบเพิ่ม 18.3 ล้านล้านเยน ดันศก.ยุค “ทาคาอิจิ” สู้ของแพง-เร่งลงทุน

คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นมีมติอนุมัติร่างงบประมาณเพิ่มเติมประจำปี 2568 วงเงิน 18.3 ล้านล้านเยน (1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในวันนี้ (28 พ.ย.) เพื่อขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า งบประมาณก้อนนี้จะถูกนำไปใช้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวม 21.3 ล้านล้านเยนที่รัฐบาลเพิ่งสรุปไปเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยมุ่งเน้นทั้งการเยียวยาภาระค่าครองชีพ เช่น อุดหนุนค่าไฟฟ้า-ค่าก๊าซ และแจกเงินสดให้ครัวเรือนที่มีเด็ก เพื่อรับมือภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงเร่งการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ เน้นอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และการต่อเรือ ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคงชาติ และเป็นการสร้าง “เศรษฐกิจเข้มแข็ง”

เพื่อสนับสนุนรายจ่ายดังกล่าว รัฐบาลวางแผนจะระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรใหม่มูลค่า 11.7 ล้านล้านเยน ซึ่งสูงกว่าปีงบประมาณก่อนเกือบสองเท่า แม้นายกฯ ทาคาอิจิจะย้ำหลักการ “ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด” และยืนยันว่ายอดหนี้รวมปีนี้ยังต่ำกว่าระดับของปีงบประมาณ 2567 ที่ 42.1 ล้านล้านเยน แต่ตลาดการเงินเริ่มกังวลต่อสถานะการคลังของญี่ปุ่นที่ย่ำแย่อยู่แล้ว

ความกังวลต่อนโยบายการคลังเชิงรุกนี้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของญี่ปุ่นพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 17 ปีเมื่อเร็ว ๆ นี้ ขณะที่นักวิจารณ์มองว่า ตัวเลขหนี้ที่ดูเหมือนลดลงนั้น เป็นผลงานเดิมของอดีตนายกฯ ชิเงรุ อิชิบะ ที่เคยจำกัดการออกพันธบัตรไว้ก่อนหน้านี้มากกว่า

อย่างไรก็ดี รัฐบาลคาดว่าจะมีรายรับสูงกว่าเป้าหมายเดิมราว 2.88 ล้านล้านเยน จากภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้นตามการปรับขึ้นค่าจ้าง ซึ่งเงินส่วนนี้จะถูกนำมาสมทบในงบเพิ่มเติมด้วย

รัฐบาลทาคาอิจิตั้งเป้าให้รัฐสภาผ่านร่างงบประมาณนี้ภายในสมัยประชุมวิสามัญที่จะสิ้นสุดในวันที่ 17 ธ.ค. แต่เนื่องจากวงเงินงบประมาณสูงกว่าจำนวน 13.94 ล้านล้านเยนของปีงบ 2567 อยู่มาก จึงยังต้องลุ้นว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านหรือไม่ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เรื่องวินัยการเงินการคลัง

ขณะที่ในวันเดียวกัน รัฐสภาญี่ปุ่นยังได้ผ่านกฎหมายยกเลิกการเก็บเงินสมทบภาษีน้ำมันเบนซินชั่วคราว เพื่อกดราคาพลังงานลงให้ทันช่วงสิ้นปี หวังช่วยลดต้นทุนภาคขนส่งและแบ่งเบาภาระประชาชน แต่รัฐบาลยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าจะหารายได้ส่วนไหนมาชดเชยเม็ดเงินภาษีที่จะหายไปราว 1.5 ล้านล้านเยนต่อปี จากทั้งมาตรการนี้และการยกเลิกภาษีดีเซลที่จะเริ่มในเดือนเม.ย.หน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 พ.ย. 68)