
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SMEs มากกว่าครึ่ง ที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ประกอบกับสินเชื่อที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงมุ่งสร้าง Ecosystem ใหม่ให้ผู้ประกอบการ SMEs ด้วยมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย ทั้งในด้านการเสริมสภาพคล่อง การเพิ่มประสิทธิภาพ และการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs
ประกอบกับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ย. 68 ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และซ้ำเติมความเปราะบางของผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงการจ้างงานในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลจึงต้องเร่งเข้าช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้ภาคธุรกิจหยุดชะงัก
โดยวันนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย” ซึ่งอยู่ภายใต้เสาหลักที่ 3 ของนโยบาย Quick Big Win เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถฟื้นตัว และดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งในด้านการจ้างงาน การสร้างรายได้ การลงทุน รวมถึงการเป็นห่วงโซ่อุปทานทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่สมดุล และเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ การเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้ SMEs ประกอบด้วย
มาตรการด้านการเงิน : การดำเนินโครงการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 7 แห่ง วงเงินรวม 267,000 ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการสินเชื่อวงเงิน 217,000 ล้านบาท และค้ำประกันสินเชื่อ วงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win” มีวงเงินโครงการรวม 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก แบ่งเป็น 3 โครงการย่อย ได้แก่
(1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป
(2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs)
(3) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG สำหรับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อหรือจัดจ้างของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจ รับคำขอค้ำประกันสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69 นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 ที่ยังคงมีวงเงินเหลืออยู่ ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อวันที่ 30 ธ.ค. 68 ไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69
2. ธนาคารออมสิน ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย วงเงินสินเชื่อรวม 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเสริมสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจ รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนเพื่อการปรับตัวและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ สำหรับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อไปปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs แบ่งเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อกรณีเสริมสภาพคล่อง (Mitigation) ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 69
(2) โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาคเอกชน โดยให้ภาคเอกชน ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขของการขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายในReinvent Thailand
(3) โครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation)
(4) โครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) โดยโครงการ Reinvent Thailand โครงการ Transformation และโครงการ Tourism สามารถรับคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 31 มี.ค. 70
3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดำเนินโครงการสินเชื่อสำหรับภาคการเกษตร วงเงินรวม 80,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการเกษตร ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืน (ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3) วงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโย วงเงินสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการ รับคำขอสินเชื่อ
4. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME วงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการ Micro SMEs วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท และผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินรายละไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69
5. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการส่งออกด้วยอัตราเบี้ยประกันพิเศษ และโครงการสินเชื่อ EXIM Expand Shield สำหรับสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการส่งออก วงเงินสินเชื่อ 12,000 ล้านบาท
6. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการมุสลิม วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาลส่งออก หรือผู้ผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ฮาลาล
7. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท สำหรับการปลูกสร้าง ซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม และเพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการบ้านจัดสรรในภูมิภาค สำหรับปลูกสร้างอาคารและสาธารณูปโภค
มาตรการด้านภาษี : โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพ และการแข่งขันที่เป็นธรรม ประกอบด้วย
1. กรมสรรพากร ดำเนินโครงการพี่ช่วยน้อง โดยให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ช่วยสนับสนุนทรัพยากร และเทคโนโลยีให้แก่บริษัทใน Supply Chain เพื่อให้ปรับตัวเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะได้รับการคืนภาษีเร็ว และสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่ามีผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 1,500 ราย เข้าร่วมโครงการ และคาดว่าจะได้รับคืนภาษีเร็วขึ้น 1,700 ล้านบาทต่อปี
และโครงการปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลาง แบบ Fast Track ซึ่งจะทำให้ SMEs เกือบ 20,000 ราย จำนวน 60,000 ล้านบาท ให้ได้รับคืนภาษีเร็วขึ้นภายในสิ้นปี 68 และในอนาคตจะมีการพิจารณาเชื่อมโยงระบบ PromptBiz กับการให้สินเชื่อ Supply chain financing ซึ่งจะทำให้ SMEs ใน Supply chain มีโอกาสได้รับสินเชื่อมากยิ่งขึ้น
2. กรมศุลกากร ดำเนินมาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value : DMV) เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยในประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่เสียภาษีถูกต้อง ให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเพิ่มโอกาสให้ SMEs ผ่านมาตรการอื่น ๆ :
– กรมบัญชีกลาง ดำเนินมาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐ โดยการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังทดลองให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government Procurement : e-GP) และข้อมูลการเบิกจ่ายเงินจากระบบ New GFMIS Thai เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ
ประกอบกับ จะมีการโอนสิทธิการรับเงินให้กับธนาคารหรือบุคคลที่ 3 ได้ ซึ่งจะทำให้ SMEs และผู้ประกอบการคู่ค้าภาครัฐสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องได้ง่ายขึ้น และมีแนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยกำหนดให้มีการให้แต้มต่อทางด้านราคาเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อีก 5% สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายรับไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปีบัญชี และได้รับอนุมัติให้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ จากระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงและแข่งขันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้
– กระทรวงพาณิชย์ อยู่ระหว่างพิจารณาจัดตั้ง E-commerce Platform ของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยมี E-commerce Platform เป็นของคนไทยเอง เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการค้า หรือให้บริการผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง เล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเปรียบเสมือนรากฐานของระบบเศรษฐกิจ ให้สามารถฟื้นตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างครอบคลุม และครบถ้วนในทุกมิติ และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เป็นไปด้วยความรวดเร็วทันการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว สามารถกลับมาดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติโดยเร็ว
ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจภาพรวมผ่านการสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นการลงทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการสร้าง Ecosystem ใหม่ให้กับ SMEs ของไทย รวมถึงการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทาน ทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และร่วมกันขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถตอบโจทย์นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล และคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ดังนี้
– “กระตุ้นสั้น” จะสามารถช่วย SMEs เติมสภาพคล่อง เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ 270,000 ล้านบาท
– “ได้ผลยาว” จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในปี 69 เพิ่มขึ้นที่ 0.36%
– “กระจายตัว” จะสามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 107,000 ราย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ธ.ค. 68)




