เงินบาทเปิด 32.00 แกว่งแคบ รอปัจจัยใหม่ คาดกรอบวันนี้ 31.95-32.15

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 32.00 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าเล็ก น้อยจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 32.02 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค โดยตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา ขณะที่ ตลาดมั่นใจว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่จะมาถึงนี้

ส่วนปัจจัยในประเทศ ตลาดรอดูทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินทุนระหว่างประเทศ (Flow) ในตลาดพันธบัตรและธุรกรรม การค้าทองคำ

“บาทเปิดตลาดเช้านี้ขยับแข็งค่าเล็กน้อย แต่ภาพรวมในภูมิภาคยังค่อนข้างเงียบ ระหว่างวันบาทน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ รอปัจจัยใหม่” นักบริหารเงิน กล่าว

โดยช่วงค่ำนี้จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้แก่ การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ และดัชนี ISM ภาคบริการ นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 31.95 – 32.15 บาท/ดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญ

  • เงินเยน อยู่ที่ระดับ 155.64 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 156.03 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1631 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.1600 ดอลลาร์/ยูโร
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท. อยู่ที่ระดับ 32.017 บาท/ดอลลาร์
  • อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจ ปี 69 คาดว่า จะเติบโตแบบชะลอตัวอยู่ในกรอบระหว่าง 0.9-2% มีค่ากลางอยู่ที่ 1.6% เนื่องจากภาคการส่งออก มีความเสี่ยงกลับมาติด ลบ 0.1% ลดลงจากปี 68 ที่คาดว่าเติบโตได้ 11% เพราะกำแพงภาษีสหรัฐจะเริ่มมีผลกระทบชัดเจนแบบเต็มปีและยังมีความเสี่ยงจาก มาตรการตอบโต้การสวมสิทธิส่งออกไปสหรัฐที่อาจเก็บภาษีสินค้าจากไทยสูงถึง 40% หากไทยเจรจาไม่สำเร็จ 
  • สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมใน 10 จังหวัดภาคใต้แม้จะบรรเทาลง แล้ว แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบ โลจิสติกส์การค้าชายแดนไทย-มาเลเซียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นศูนย์ กลางโลจิสติกส์ ที่ทำให้การขนส่งทางถนนแทบหยุดชะงัก ในการส่งสินค้าผ่านด่านศุลกากรสะเดา เป็นด่านที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุด โดยมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 311.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 10,947 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 76.30% และด่าน ศุลกากรปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นอันดับสองส่งออกเฉลี่ย 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 3,162 ล้านบาท 
  • ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9 และวันพ่อแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 5-7 ธ.ค. 2568 คาดมีการเดินทางคึกคักมีนักท่องเที่ยวชาวไทยรวม 2.52 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนราว 10,320 ล้านบาท และมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 68% สะท้อนบรรยากาศท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจากวันหยุดต่อเนื่อง อากาศเย็นลงเร็วกว่าปีก่อน และผลจากมาตรการรัฐ “เที่ยวดี มีคืน” และ “คนละครึ่ง พลัส” ที่กระตุ้นการเดินทางในประเทศ 
  • องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจโลกจะ ชะลอตัวจากระดับ 3.2% ในปี 2568 สู่ระดับ 2.9% ในปี 2569 ซึ่งสอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ย. OECD คาดว่า ธนาคาร กลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 2 ครั้งภายในสิ้นปี 2569 ก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25–3.50% ตลอดปี 2570 
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.) ว่า เขาจะประกาศรายชื่อผู้ที่เขาเลือกให้ดำรง ตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนต่อไปในช่วงต้นปีหน้า
  • ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (2 ธ.ค.) หลังมีรายงานว่าเงินเฟ้อในกลุ่มยูโรโซนปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งอาจลดโอกาสที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลด อัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ โดยถูกกดดันจากกระแสคาดการณ์การปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ก่อนที่การประชุมนโยบายการเงินของเฟด จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า
  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (2 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้น ติดต่อกัน 6 วันทำการ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ก่อนที่การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลาง สหรัฐฯ (เฟด) จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า
  • ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ สำคัญ วันนี้ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP, ราคานำเข้าและราคาส่งออก เดือนก.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย. จาก S&P Global, ดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จากสถาบัน จัดการด้านอุปทาน (ISM) และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)
  • นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่อง จากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
  • นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE จะเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือน ส.ค. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนก.ย. หลังจากที่เพิ่ม ขึ้น 2.9% เช่นเดียวกันในเดือนส.ค.
  • นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 9-10 ธ.ค. หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย ส่งสัญญาณสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 89.2% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ติดต่อกัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ธ.ค. 68)