บรรยากาศการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงเมื่อวันอาทิตย์ (7 ธ.ค.) เป็นไปอย่างซบเซา โดยมีผู้ใช้สิทธิน้อยใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากกระแสความโกรธแค้นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ภายหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบเกือบ 80 ปี
รัฐบาลฮ่องกงเปิดเผยอัตราการใช้สิทธิเลือกตั้งอยู่ที่ 31.9% สูงกว่าการเลือกตั้งปี 2564 ที่ 30.2% ซึ่งเป็นสถิติต่ำที่สุดนับตั้งแต่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนสู่จีนเมื่อปี 2540 แต่หากนับจำนวนผู้ลงคะแนนจริงพบว่าน้อยกว่าสี่ปีก่อนอยู่เล็กน้อย ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งในปีนี้อยู่ที่ 4.13 ล้านคน ซึ่งลดลงติดต่อกันเป็นปีที่ 4 แล้ว
การเลือกตั้งครั้งนี้ รัฐบาลจีนกำหนดให้เฉพาะผู้สมัครที่ผ่านการตรวจสอบว่าเป็น “ผู้รักชาติ” เท่านั้นจึงจะมีสิทธิลงชิงชัย โดยสภามีทั้งหมด 90 ที่นั่ง แต่เปิดให้ประชาชนเลือกตั้งโดยตรงเพียง 20 ที่นั่ง ส่วนที่เหลือมาจากการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการเลือกตั้งและกลุ่มวิชาชีพที่ส่วนใหญ่สนับสนุนรัฐบาลปักกิ่ง ส่งผลให้ฐานเสียงฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งเดิมมีอยู่ราว 60% เมินเฉยต่อการเลือกตั้งครั้งนี้
เดวิด ลก ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยอมรับว่า เหตุไฟไหม้ได้เปลี่ยนบรรยากาศทางสังคม ทำให้การจัดการเลือกตั้งเป็นเรื่องยากลำบากมาก
เหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นที่อาคารพักอาศัยหวั่งฟกคอร์ต (Wang Fuk Court) ในเขตต่ายโปว ใกล้ชายแดนจีน เมื่อวันที่ 26 พ.ย. เพลิงได้ลุกไหม้อาคารสูง 7 หลัง นานเกือบ 2 วัน คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 159 ราย โดยทางการระบุสาเหตุว่าเกิดจากวัสดุก่อสร้างที่ใช้ในการปรับปรุงอาคารไม่ได้มาตรฐาน
หลังเกิดเหตุ จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง รับปากว่าจะเร่งปฏิรูปองค์กรและสอบสวนเหตุการณ์เพื่อลดกระแสความไม่พอใจ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดในพื้นที่เกิดเหตุ และเข้าเคลียร์ดอกไม้ไว้อาลัยในช่วงกลางดึก ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลต่ออารมณ์ของมวลชน
ด้านสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของจีนในฮ่องกง ได้ออกโรงเตือนสื่อต่างชาติห้ามเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้ และขู่จะจัดการกับการประท้วงต่อต้านจีน ขณะที่หน่วยงานปราบปรามการทุจริตได้จับกุมชาย 4 ราย ฐานโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียปลุกระดมให้คนไม่ไปเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายใหม่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ธ.ค. 68)
