
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ.2568 โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่านายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯ สมควรยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลฯ ว่ารัฐบาลได้เข้ารับหน้าที่ในการบริหารราชการตั้งแต่เดือน ก.ย.68 เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรคแต่ไม่ได้มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างที่ประเทศได้เผชิญความท้าทายหลายประการเพราะความไม่แน่นอนรอบด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ของโลก รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
รัฐบาลได้เร่งดำเนินการทุกวิถีทางในการบริหารราชการให้สามารถแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่รุมเร้าให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและสันติสุขให้เกิดขึ้นกับชาติเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน อาทิ การผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า การขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและชุมชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ การช่วยเหลือเยียวยาความเดือนร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ การป้องกันและปราบปรามบ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติภัยไซเบอร์ และการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการเร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็งรวมทั้งกำหนดมาตรการในการดำเนินการเพื่อรองรับและลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน
การบริหารราชการจำเป็นต้องมีเสถียรภาพ แต่รัฐบาลมีเสียงข้างน้อย ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่มีปัญหารุมเร้าในหลาย ๆ ด้าน ส่งผลให้รัฐบาลไม่อาจบริหารราชการได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพหากปล่อยให้สภาวการณ์เป็นอยู่เช่นนี้ย่อมจะเกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองและกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และเกิดความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อระบบรัฐสภาและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทางออกที่เหมาะสมคือการยุบสภาฯ เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป คืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และให้ได้รัฐบาลเสียงข้างมากและมีเสถียรภาพเข้ามาบริหารราชการอย่างราบรื่นและเรียบร้อย
สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปจะมีขึ้นในวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 68)





