ไทย-กัมพูชา: กห. แจงคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันด่านช่องเม็ก หวังตัดกำลังปฏิบัติการทางทหารกัมพูชา

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ (ภาพ: thaigov.go.th)

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวจากศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 15 ธ.ค.68 อัพเดทสถานการณ์สู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า จนถึงเช้าวันนี้ กัมพูชายังระดมการโจมตีเข้ามายังพื้นที่ในฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ ซึ่งกัมพูชามีเป้าหมายโจมตีพลเรือนเป็นสำคัญ รวมทั้งการใช้อาวุธหนักในบริเวณพื้นที่ จ.ตราด ซึ่งอยู่ในการดูแลของกองทัพเรือ

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่เวลา 02.00 น.ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 2 ได้ออกประกาศการควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและยุทธภัณฑ์ผ่านจุดผ่านแดนถาวร ช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี ซึ่งติดอยู่กับ สปป.ลาว เนื่องจากสืบทราบว่ามีการนำน้ำมันส่งต่อไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อให้กองทัพทหารกัมพูชามาใช้ในการสู้รบ ทั้งนี้ ยืนยันว่าประกาศคำสั่งดังกล่าวไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างผลกระทบต่อประชาชนในประเทศลาว แต่จะพยายามดำเนินมาตรการนี้อย่างรวดเร็ว และให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุดต่อพี่น้องชาวลาว

 

กัมพูชา ไม่มีแนวโน้มยุติโจมตีพื้นที่พลเรือนในฝั่งไทย

พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทหารกัมพูชาได้โจมตีเข้ามายังพื้นที่พลเรือนของฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนไทยได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต ส่งผลให้ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ มีคำสั่งให้ประชาชนอพยพจากพื้นที่ใน 7 ตำบล

“ยังไม่มีแนวโน้มว่ากัมพูชาจะหยุดใช้ยุทธวิธีนี้ เพื่อสร้างความหวาดกลัว และความเดือดร้อนต่อประชาชน ดังนั้นขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ อ.กันทรลักษณ์ ที่พบการโจมตีเข้ามาบ่อยครั้ง ขอให้ทำตามคำแนะนำของส่วนราชการ” รองโฆษกกองทัพบก ระบุ

นอกจากนี้ กัมพูชายังคงใช้ปฏิบัติการทางทหารด้วยอาวุธหนัก เช่น BM-21 โจมตีเข้ามายังพื้นที่ที่ไทยสามารถเข้าควบคุมได้แล้วอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการใช้โดรนพลีชีพเข้ามาในฝั่งไทย

 

คาดทหารกัมพูชา เสียชีวิตอย่างน้อย 505 นาย

สำหรับข้อมูลประมาณการความสูญเสียของกองทัพกัมพูชา ในช่วงวันที่ 7-14 ธ.ค.68 ดังนี้

– ฐานที่มั่น/ที่ตั้งทางทหาร 82 แห่ง

– BM-21 1 ระบบ

– รถถัง 12 คัน

– ยานรบ/ยานเกราะ 10 คัน

– ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (ปตอ.) 4 ระบบ

– ปืนใหญ่/ปืน ค. 7 กระบอก

– Anti drone 5 จุด

– Drone 175 ลำ

– เสาสื่อสาร 5 จุด

– ทหารกัมพูชา เสียชีวิต 505 นาย (ยอดประมาณการ)

 

กรมศิลป์ฯ ยันบูรณะ “ปราสาทตาควาย” ให้กลับมาคงสภาพเดิมได้

นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวถึงข้อห่วงใยจากหลายฝ่าย ที่มีต่อความเสียหายของโบราณสถาน โดยเฉพาะที่ “ปราสาทตาควาย” จากผลกระทบการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา อีกทั้งกรณีที่กัมพูชาใช้โบราณสถานเป็นฐานที่ตั้งทางทหารว่า “ปราสาทตาควาย” ถือเป็นโบราณสถานสำคัญของไทย ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ เป็นที่ตระหนักกันดีว่า ไม่ควรมีโบราณสถานแห่งใดบนโลกนี้ได้รับความเสียหายจากสงคราม ด้วยเหตุนี้ ประชาคมโลกหรือนานาชาติจึงได้มีกติการ่วมกันในการไม่ใช่โบราณสถาน เป็น “ฐานที่มั่น” หรือ “กองกำลังทหาร” หรือปฏิบัติการใด ๆ ในทางสงครามที่จะใช้โบราณสถานเป็นฐานที่มั่นทางการทหาร

“กรณีปราสาทตาควายนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่ากัมพูชาได้ใช้เป็นที่มั่น หรือการซ่องสุมกำลัง ซึ่งเท่ากับละเลยกติกาที่ยอมรับกันในสากล ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ ฝ่ายไทยต้องปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งเป็นไปตามความจำเป็น ผลของสงครามย่อมเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายได้” อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว

พร้อมยืนยันว่า ภายหลังเหตุการณ์สู้รบสงบลง เชื่อมั่นว่าจะสามารถบูรณะซ่อมแซม และฟื้นฟูโบราณสถานให้กลับคืนมาได้ดังเดิม หรืออาจสมบูรณ์มากกว่าเดิม จากหลักฐานการขุดแต่งทางโบราณคดี ด้วยวิธีการเฉพาะของกรมศิลปากร โดยได้ยกตัวอย่างในอดีตเมื่อ 50 ปีก่อน ที่กรมศิลป์ฯ ยังสามารถซ่อมแซมปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย ซึ่งเป็นปราสาทที่มีลวดลายวิจิตร และสลับซับซ้อนมากกว่าปราสาทตาควาย จากซากปรักหักพัง ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้

“หากกรมศิลปากร ได้มีโอกาสซ่อม จะสามารถบูรณะกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน โดยใช้วิธีการรื้อลงมาทั้งหลัง แล้วทำโครงสร้างใหม่ที่แข็งแรง แล้วนำโครงสร้างเดิมกลับไปเรียงต่อประกอบใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วกับการซ่อมปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย เมื่อ 50 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบันมีวิทยาการทันสมัยในการซ่อมแซม ดังนั้นปราสาทตาควาย ที่มีขนาดเล็กกว่า ความซับซ้อนน้อยกว่า ไม่มีลวดลายมากเท่า จึงไม่เกินความสามารถของกรมศิลปากรในการบูรณะอย่างแน่นอน” นายพนมบุตร กล่าว

 

กัมพูชา ละเมิด 2 อนุสัญญาในการคุ้มครองโบราณสถาน

นางมาระตี นะลิดา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงภารกิจในการชี้แจงต่อประชาคมโลกในประเด็นเรื่องปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่โบราณสถาน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อนุสัญญาเพื่อการปกป้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในสถานการณ์ขัดกันทางอาวุธ ค.ศ.1954 (อนุสัญญากรุงเฮก) และอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ค.ศ.1972 (อนุสัญญามรดกโลก)

ซึ่งจากการที่กัมพูชาได้กล่าวหาว่าไทยโจมตีโบราณสถานนั้น ขอยืนยันว่าฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจนว่ากองทัพกัมพูชาใช้โบราณสถานหรือปราสาทต่าง ๆ ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงมีทางเลือกเดียวในการใช้สิทธิปกป้องตนเอง

“การกระทำของกัมพูชา ถือว่าเป็นการละเมิดอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ ยูเนสโก เรียกร้องให้ 2 ฝ่ายปกป้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรมตามแนวชายแดน ซึ่งกัมพูชายังบิดเบือนข้อมูล และถือว่าไม่จริงใจ โดยไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้พื้นที่ดังกล่าว เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร และยุติการบิดเบือนข้อมูลเรื่องนี้” รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศ กล่าว

นอกจากนี้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ประกาศระงับการเดินทางของชาวไทยและชาวต่างชาติ ผ่านด่านทางบกตลอดแนวชายแดนทั้งหมดนั้นเนื่องจากปัญหาความไม่ปลอดภัยนั้น ทางการไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ ขอยืนยันว่าทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ยังสามารถเดินทางผ่านด่านข้ามแดนได้อย่างปลอดภัย

 

เฝ้าระวังเข้ม ย้ำความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการ คณะกรรมการรักษาความมั่งปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวถึงการเฝ้าระวัง และป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ว่า ในการเฝ้าระวังนั้น สกมช. มีหน่วยงาน ThaiCERT เฝ้าระวังร่วมกับหน่วยงานที่ให้บริการประชาชน ทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งป้องกัน เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ และแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว เพราะเป้าหมายคือการใช้บริการของประชาชนจะต้องไม่สะดุด แม้จะมีความพยายามในการโจมตีในรูปแบบต่าง ๆ

ทั้งนี้ สกมช. ตลอดจนหน่วยงานที่ให้บริการประชาชน ได้เริ่มดำเนินการเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยร่วมกัน ตั้งแต่ที่สถานการณ์เริ่มมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงตั้งแต่มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งการเฝ้าระวังในการเตือนภัยจะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้า แต่หากมีเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะสร้างปัญหา จะต้องแจ้งเตือนหน่วยงานต่าง ๆ ให้ได้ภายใน 5 นาที เพื่อไม่ให้เหตุการณ์บานปลายและการใช้บริการของประชาชนต้องสะดุดลง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ธ.ค. 68)