ไทย-กัมพูชา: ทร.ยกเลิกเคอร์ฟิวส์จ.ตราด หลังคุมสถานการณ์ได้ เหตุขัดแย้งยังไม่กระทบการค้า-ท่องเที่ยว

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ (ภาพ: thaigov.go.th)

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวจากศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

 

สรุปสถานการณ์

– เวลา 06:47 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากโจมตีเข้ามายังดินแดนอธิปไตยของไทยตลอดแนวชายแดน ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเอง

– เวลา 07:00 น. ฝ่ายกัมพูชาระดมยิง BM-21 เข้าใส่เนิน 677 ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง

– เวลา 11:00 น. ฝ่ายกัมพูชาระดมยิง BM-21 และอาวุธหนักเข้าใส่เนิน 350 อย่างต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง

– เวลา 12:00 น. ฝ่ายกัมพูชาระดมยิง BM-21 เข้าใส่ปราสาทตาควายอย่างหนัก ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง

ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติล่าสุดให้มีการควบคุมการขนส่งน้ำมัน และยุทธปัจจัยทางทะเล สำหรับเรือพาณิชย์ ที่ขึ้นทะเบียนสัญชาติไทย อย่างไรก็ดี ยังไม่ได้มีการบังคับใช้เป็นเพียงมติเท่านั้น

 

ข้อมูลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ล่าสุดของวันที่ 16 ธ.ค. 68

– ประชาชนเสียชีวิต (ผลกระทบทางอ้อมจากเหตุการณ์) 15 คน

– ประชาชนเสียชีวิต (จากการโจมตีของกัมพูชา) 1 คน

– ประชาชนบาดเจ็บ (จากการโจมตีของกัมพูชา) 6 คน

– ศูนย์พักพิงชั่วคราว มีจำนวน 996 แห่ง

– ประชาชนในศูนย์พักพิง จำนวน 263,285 คน

– โรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ 20 แห่ง

– รพ.สต. ที่ได้รับผลกระทบ 214 แห่ง

 

การปฎิบัติการทางทหาร

 

ร.ท.หญิง นภัสกร ทิพย์โส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีที่ล่าสุดมีประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวส์ที่จ.ตราด โดยให้เหตุผลว่ามีความเสี่ยงลดลง ปัจจุบันสามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้ ในส่วนของประชาชนก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ

 

พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาปล่อยข่าวว่าฝ่ายไทยใช้ระเบิดพวงโจมตีกัมพูชาว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กัมพูชาปล่อยข่าวเช่นนี้ มีการปล่อยข่าวแบบนี้มาสักระยะแล้ว ทั้งนี้ ประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยการใช้ระเบิดพวง ซึ่งทำให้การปล่อยข่าวไม่มีประโยชน์ และทุกการปฎิบัติการทางทหาร การใช้อาวุธทุกชนิดของกองทัพไทย มุ่งไปที่เป้าหมายทางทหารเท่านั้น และไม่มีกระทบต่อพลเรือน

 

ผลกระทบการค้าและการท่องเที่ยว

นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตั้งแต่ปิดด่านเมื่อเดือนก.ค. 68 เป็นต้นมา การค้าของประเทศไทยโดยเฉพาะการส่งออกในช่วง 10 (ม.ค.-ต.ค. 68) เดือนแรกโต 13% คิดเป็นมูลค่า 9.3 ล้านล้านบาท ในส่วนของการค้าชายแดน 10 เดือนแรกโต 4.7% คิดเป็นมูลค่า 913 พันล้านบาท

นายดวงอาทิตย์ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ในภาพรวมไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักต่อการค้า โดยเฉพาะเรื่องการส่งออก สำหรับผู้ประกอบการเชื่อว่าได้รับผลกระทบอยู่บ้าง กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดทำโครงการหลายโครงการเพื่อให้ค่าครองชีพคงที่ และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วถึง เช่น โครงการธงฟ้า

ส่วนสถานการณ์ชายแดนที่มีรถบรรทุกน้ำมันค้างคาอยู่ที่ด่านช่องเม็ก มีการตรวจสอบหรือประสานงานกับพาณิชย์ของสปป.ลาว แล้วหรือไม่นั้น นายดวงอาทิตย์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาบอกแล้วว่า ตรวจสอบแล้วว่าเป็นการค้าปกติ ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับการนำเข้าน้ำมัน

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ได้ตรววจสอบกับสำนักงานที่สปป.ลาว แล้วเช่นกัน พบว่า เป็นการค้าปกติ โดยน้ำมันทั้งหมดที่ค้างคาอยู่ที่ด่าน จะเป็นการขนส่งไปที่สปป.ลาว ที่เดียว โดยสำนักงานพาณิชย์ต่างประเทศ ในกรุงเวียงจันทน์ ได้ตรวจสอบแล้วว่า โดยทางสปป.ลาวยืนยันว่าน้ำมันทั้งหมดเป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในประเทศสปป.ลาว ส่วนที่เห็นค้างคาอยู่ที่ด่านช่องเม็ก เพราะเขากังวลการจราจรที่จะแออัดในช่วงปีใหม่ ดังนั้น ยืนยันว่าการนำเข้าน้ำมันทั้งหมดเป็นการใช้ในประเทศสปป.ลาว โดยไม่มีการส่งไปประเทศกัมพูชาแต่อย่างใด

 

ด้านนายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยว่า ปัจจุบันยังสถานการณ์ท่องเที่ยวยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยตามปกติ ในพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ รวมถึงฝั่งทะเลฝั่งอันดามัน และชลบุรี ซึ่งยังไม่มีการยกเลิกท่องเที่ยวแต่อย่างใด โดยล่าสุด ณ วันที่ 15 ธ.ค. 68 มีทักท่องเที่ยวเข้ามา 102,000 คน รวมยอดนักท่องเที่ยวปัจจุบันอยู่ที่ 31.1 ล้านคน โดยมีเป้าหมายปลายปีอยู่ที่ 32.8 ล้านคน

ในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทย ยังเดินทางเที่ยวตามปกติเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเน้นเที่ยวภาคเหนือและอีสาน หรือเขาใหญ่ และภาคกลางและกรุงเทพ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวแล้ว 200 ล้านคน-ครั้ง คาดเป้าหมายปลายปีอยู่ที่ 206 ล้านคน-ครั้ง

อย่างไรก็ตาม หลายประเทศอาจมีความห่วงใยพลเมืองของตนเอง ก็อาจมีการแจ้งเตือนถึงสถานการณ์ และพื้นที่ที่ยังสามารถท่องเที่ยวได้ตามปกติ จึงอาจทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนตัดสินใจเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปสู่ภูมิภาคอื่น โดยพื้นที่จังหวัดตราดมีการยกเลิกจองที่พักล่วงหน้าไปบ้าง แต่นักท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่ก็เข้าใจสถานการณ์และเดินทางท่องเที่ยวต่อ ในส่วนของเที่ยวบินก็ยังให้บริการตามปกติ แต่อาจมีการปรับเวลาให้สอดคล้องกับมาตรการเคอร์ฟิวส์

ททท. จะชี้แจงข้อเท็จจริง และมาตรการต่าง ๆ แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะมีการเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ กระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงออกมาตรการเยียวยาดูแลผู้ประกอบการให้กลับมามีความพร้อมต่อไป ขอยืนยันว่าอยากให้นักท่องเทียวชาวไทยและต่างประเทศ มีความมั่นใจที่จะเดินทางท่องเที่ยวในไทย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ธ.ค. 68)