ZoomIn: โจทย์หิน “เงินบาท” ปี 69 ในยุคที่ทองคำเป็นตัวเร่ง

เมื่อทองคำไม่ใช่ Safe Haven แต่เป็น “ตัวเร่ง” ให้บาทแข็ง โจทย์หินซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยในช่วงรอยต่อปี 68-69 บาทแข็งแซงหน้าพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงสูงจากทั้งในและต่างประเทศ “คลัง-ธปท.” ทนนิ่งไม่ไหว จับมือออกมาตรการคุมเข้มเทรดทองออนไลน์ สกัดแรงกดดันค่าบาท ด้าน “กูรูแบงก์” คาดการณ์แนวโน้มเงินบาทปี 69 พร้อมแนะผู้ประกอบการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง รับมือความผันผวนของเงินบาท ที่อนาคตอาจทะลุ 10% จนกลายเป็น New normal ค่าเงินไทย

  • KTB คาดกรอบบาทปี 69 ที่ 30.00-33.00

นายพูน พานิชย์พิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2569 ว่า ในเบื้องต้นให้กรอบเงินบาทสำหรับปีหน้าไว้ที่ 30.00-33.00 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงไตรมาส 1 เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากอานิสงส์การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว รวมทั้งมีแรงซื้อสินทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน ก.พ.69

อย่างไรก็ดี มีโอกาสที่เงินบาทจะเสี่ยงอ่อนค่าลง ทดสอบโซน 33.00 บาท/ดอลลาร์ได้อีกครั้ง ในช่วงกลางปี 69 เป็นต้นไป หากการเมืองไทยเผชิญความวุ่นวายหลังการเลือกตั้ง อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นช่วงฤดูการจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ราคาทองคำที่เคยช่วยหนุนเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ก็เสี่ยงย่อตัวลงบ้าง ตามภาวะการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโลก

“เงินบาทจะพลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงปลายปี หลังสถานการณ์การเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้น ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดทอนผลกระทบจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้เงินบาทอาจจบสิ้นปีหน้า แถว 32.00 +/-0.25 บาท/ดอลลาร์” นายพูน ระบุ

ขณะเดียวกัน ยอมรับว่า หากทางการไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการเพื่อลดทอนผลกระทบของการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับทองคำเปลี่ยนไป ส่งผลให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่ากว่าที่ได้ประเมินไว้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 69

นายพูน ระบุว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของเงินบาทได้เปลี่ยนแปลงไปพอสมควรจากอดีตที่ผ่านมา โดยเงินบาทได้กลายเป็นสกุลเงินที่มีความผันผวนสูงขึ้นจากอดีตอย่างมีนัยสำคัญ (เดิมอาจมีความผันผวนราว 4-5% ต่อปี แต่ปัจจุบันความผันผวนอยู่ที่ 7% ขึ้นไป และอาจสูงถึงระดับ 10% จนอาจกลายเป็นเรื่องปกติของเงินบาท) ดังนั้น จึงแนะนำผู้เล่นในตลาดว่าควรประยุกต์ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น เช่น Options รวมถึงการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency)

ทั้งนี้ ในปี 69 ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินบาท ได้แก่ 1.นโยบายการค้าของสหรัฐฯ 2. การเลือกตั้งใหญ่ของไทย และการเลือกตั้งกลางปีของสหรัฐฯ 3.ปัญหาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมกันนี้ ต้องจับตาการประชุมธนาคารกลางหลัก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างใกล้ชิด เนื่องจากผลการประชุมธนาคารกลางดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนว่าความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้น และทำให้มองว่ากลยุทธ์ Options ยังมีความจำเป็นมากในช่วงนี้

สำหรับในช่วงท้ายปี 2568 นี้ นายพูน คาดว่า เงินบาทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 31.00 บาท/ดอลลาร์ (+/-0.25 บาท)

 

  • BAY คาดกรอบบาทปี 69 ที่ 30.50-32.75

น.ส.รุ่ง สงวนเรือง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า จากการที่เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ราคาทองคำโลกที่ซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมุมมองของตลาดที่ว่าสหรัฐฯ จะผ่อนคลายนโยบายการเงินลงอีก ต่างเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทแข็งค่า

สำหรับในปีนี้ ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 25 ธ.ค.68 เงินบาทแข็งค่าขึ้น 9.67% (Year to Date) แข็งค่าเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาค รองจากริงกิตมาเลเซีย โดยในช่วงครึ่งแรกของปี เงินบาทเหวี่ยงตัวในกรอบกว้าง และแตะระดับอ่อนค่าสุดที่ 34.99 บาท/ดอลลาร์ หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศภาษี reciprocal เมื่อเดือนเม.ย. ซึ่งความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้จุดกระแสลดการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ในเวลาต่อมา

“เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ทางการจีนปล่อยเงินหยวนแข็งค่าต่อเนื่อง หลังเงินหยวนอ่อนค่า 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลในเชิงจิตวิทยาให้เงินบาทแข็งค่าตามไปด้วย ซึ่งผลกระทบจากบาทแข็ง ทำให้มาร์จิ้นธุรกิจส่งออกลดลง โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความต้องการสินค้าไทยในตลาดโลก มีน้ำหนักมากกว่าอัตราแลกเปลี่ยน” น.ส.รุ่ง กล่าว

พร้อมประเมินว่า ณ สิ้นปี 2568 เงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 31.00 บาท/ดอลลาร์ โดยอาจมีการซื้อดอลลาร์คืน เพื่อปรับสถานะลงทุน หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบล่าสุด

สำหรับทิศทางค่าเงินบาทสำหรับปี 2569 นั้น น.ส.รุ่ง คาดกรอบเงินบาทไว้ที่ 30.50 – 32.75 บาท/ดอลลาร์ พร้อมประเมินว่า ณ สิ้นปี 2568 เงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 31.00 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยชี้นำหลักที่มีผลต่อทิศทางค่าเงิน ได้แก่ สหรัฐฯ ผ่อนคลายนโยบายการเงิน, ความเสี่ยงที่ความเป็นอิสระของเฟดอาจถูกการเมืองแทรกแซง, ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการให้สกุลเงินคู่ค้าอ่อนค่ามาก

นอกจากนี้ แม้หลายภาคส่วนคาดว่าการส่งออกของไทยอาจหดตัวในปี 69 แต่เชื่อว่าไทยจะยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี

 

  • SCB คาดกรอบบาทปี 69 ที่ 30.80-33.00

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งดัชนีเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย ราคาทองคำที่สูงขึ้นจาก Geopolitical risk และสกุลเงินภูมิภาคที่แข็งค่า เช่น เงินหยวน นอกจากนี้ ยังมี Seasonal factors ที่พบว่าเงินบาทมักแข็งค่าในเดือน ธ.ค.

โดยมองว่า เงินบาทน่าจะไม่แข็งค่าทะลุ 31.00 บาท/ดอลลาร์ลงมา เพราะปัจจัยในประเทศยังมีความไม่แน่นอน ทั้งเรื่องการเมือง การเลือกตั้งต้นปีหน้า และเลขเศรษฐกิจ อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังเข้าไปรับซื้อดอลลาร์ในบางช่วง ซึ่งน่าจะพยุงเงินบาทไว้ได้

สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์บาทแข็งนั้น มองว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ จะเป็นธุรกิจที่เน้นผลิตเพื่อส่งออก ขณะที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศสูง เช่น ธุรกิจการเกษตรและอาหารทะเล รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้ต่างชาติมาก เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว

SCB FM มองว่าในระยะสั้น เงินบาทอาจจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่า เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปลายปี 2) มองว่า US Treasury yields จะยังต่ำ และดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่า เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงด้านต่ำ โดยเฉพาะจากตลาดแรงงาน และ 3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าเล็กน้อยในระยะสั้น โดยมองกรอบเงินบาทไว้ที่ 31.00-31.50 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงปลายปีนี้

พร้อมมองว่า ในช่วงต้นปี 69 เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่ในกรอบ 30.80-31.80 บาท/ดอลลาร์ แต่ทิศทางในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า เงินบาทอาจจะเริ่มปรับอ่อนค่าลงมาได้ และมีโอกาสจะยืนเหนือ 33.00 บาท/ดอลลาร์ได้ในช่วงปลายปีหน้า

 

  • “คลัง-ธปท.” เข้ม! งัดมาตรการภาษีคุมดีลทอง สกัดตัวการบาทแข็ง

ตั้งแต่ต้นปี 68 ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าไปกว่า 9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา แข็งค่าไปกว่า 4% ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ อันเนื่องจากนักลงทุนได้ปรับคาดการณ์การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกอบกับมีปัจจัยเฉพาะของไทยเอง ในธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศของบริษัท และกลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่ ที่บางวันมีมูลค่าการซื้อขายรวมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การขายดอลลาร์ในสัดส่วนที่สูงมาก มีผลกดดันเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นแรง และเร็ว นำสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ซึ่งเป็นเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เพิ่มความเข้มงวดในการทำธุรรรมเงินตราต่างประเทศของบริษัท และกลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ได้ร่วมกับ ธปท. วางแนวทางกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำ เช่น การกำหนดเพดานวงเงินการซื้อขายทองคำในแพลตฟอร์มออนไลน์ การให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องนำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำให้แก่กรมสรรพากร ตลอดจนการศึกษาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ จากการทำธุรกรรมทองคำแท่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ควบคู่ไปด้วย

 

  • ดีเดย์ 29 ธ.ค. คุมเข้มธุรกรรมซื้อขายเงินตราตปท. เกิน 2 แสนดอลลาร์

อย่างไรก็ดี จากการที่ในช่วงที่ผ่านมา มีเงินตราต่างประเทศไหลเข้า-ออกประเทศในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลให้เงินบาทมีความผันผวนสูงด้วยนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.68 ธปท.ได้ทำหนังสือเวียนถึงธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เรื่องการซักซ้อมวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับลูกค้า เพื่อขอให้ธนาคารตรวจสอบเอกสารการนำเงินเข้าประเทศ สำหรับบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ ซึ่งมีธุรกรรมตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป โดยต้องมีการรายงาน และแสดงเอกสารแหล่งที่มาของรายได้ วัตถุประสงค์ในการนำเงินเข้า ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันนี้ (29 ธ.ค.) เป็นต้นไป

“ภายใต้เกณฑ์ใหม่ จะขอให้ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารประกอบการนำเงินเข้า ซึ่งต้องมีหลักฐานแสดงที่มาของเงินอย่างชัดเจน หากพบการนำเงินเข้ามาในปริมาณสูงถึงระดับที่มีนัยสำคัญ ธนาคารจะต้องตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด เพื่อยืนยันแหล่งที่มาของเงิน และวัตถุประสงค์ในการนำเงินเข้ามาใช้ในประเทศ” นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท.ระบุ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ธ.ค. 68)