
ในช่วงที่มีการขยายเวลาช่วงเวลาทำการของการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจาก 14.30 น. เป็น 14.00 น. หรือเพิ่มเวลาเทรดอีก 30 นาที นั้น เบื้องต้นอาจจะถูกนำเสนอด้วยเจตนา หรือ มีความตั้งใจที่ดี โดยใช้ตรรกะที่ว่า “การเพิ่มปริมาณการซื้อขาย” ให้กับตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งต้องมาจาก “การขยายเวลาซื้อขาย”
แต่เดิมความคาดหวังให้ตลาดมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจากตรรกะดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้เกิดการเอาเวลาพัก ขยายมาเป็นเวลาเทรด
ทั้งนี้ ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจ เพราะทราบว่าผู้มีอำนาจทางการเมืองในยุคนั้น หรือ 1 ปี 8 เดือนที่ผ่านมาที่มีคำสั่งให้มีการขยายเวลาเทรด เพราะท่านใช้ตรรกะเดียวกับการเป็น “นักเซลล์แมน” ที่เคยเป็นอาชีพหลักมาก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและมีการใช้งานจริง กลับพบว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวัง และในหลายมิติกลับสร้างภาระมากกว่าประโยชน์ และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่างๆ เกิดขึ้น ดังนี้
1. การย่นเวลาเทรดเข้ามา ทำให้การประกาศตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างการประชุม กนง.ที่กำหนดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามีผลต่อตลาดหุ้น และภาพรวมเศษฐกิจประกาศออกมาระหว่างชั่วโมงเทรด
เนื่องจากการประกาศข้อมูลสำคัญในลักษณะนี้ อาจจะทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางด้านการเข้าถึงข้อมูล ไม่มีเวลาให้นักลงทุนได้วิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ และอาจจะทำให้เกิดความผันผวน และความเสียหายต่อผู้นักลงทุน
2. มาตรการ fair disclosure และการปรับปรุงการให้ข้อมูลต่อนักลงทุนผ่าน Earnings Call ของบริษัทจดทะเบียนจะทำได้ยากขึ้นหากมีเวลาพักระหว่างวันเทรดมีเพียงแค่ 1.5 ชั่วโมง
สำนักงาน ก.ล.ต. ต้องการยกระดับการ disclosure และการจัดการประชุมเพื่อนำเสนอข้อมูลธุรกิจและผลการดำเนินงาน(Earnings Call) ในรูปแบบมาตราฐานสากล
ฉะนั้น ควรจะตระหนักถึงความเหมาะสมของชั่วโมงเทรด และชั่วโมงพัก เพื่อให้นักลงทุนและผู้ประกอบการมีเวลามากพอสำหรับการเข้าถึงและวิเคาระห์ข้อมูลเหล่านั้น ก่อนตัดสินใจในรูปแบบต่างๆ
ในทางปฏิบัติ ช่วงเวลา 30 นาทีที่เพิ่มขึ้นนั้นมีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ามาซื้อขายเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่เพียงแค่กระจายคำสั่งออกจากช่วงเวลาปกติเดิมเท่านั้น ส่งผลให้สภาพคล่องโดยรวมของตลาดไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่ตั้งใจไว้
ราคาไม่ได้สะท้อนข้อมูลได้มีประสิทธิภาพขึ้น และ Bid-Ask ก็ไม่ได้แคบลงอย่างชัดเจน เวลาที่เพิ่มเข้ามาจึงกลายเป็นช่วงที่ “ตลาดเงียบ ตลาดซึม” มากกว่าจะเป็นช่วงที่ช่วยเสริมพลังให้ตลาด
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือเรื่องต้นทุน นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากต้องใช้เวลาเฝ้าหน้าจอนานขึ้น ทั้งที่ช่วงเวลานั้นกลับไม่มีโอกาสที่ดีเพิ่มขึ้นตามมา
สำหรับผู้ที่มีงานประจำ หรือไม่สามารถติดตามตลาดได้ตลอดทั้งวัน ภาระด้านเวลาและความเครียดกลับสูงขึ้น ขณะเดียวกันการซื้อขายในช่วงที่สภาพคล่องต่ำยังเพิ่มความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา เพราะคำสั่งเพียงไม่กี่รายการก็สามารถทำให้ราคาขยับแรงได้โดยไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง
ฝั่งโบรกเกอร์และผู้เกี่ยวข้องกับระบบตลาดฯ เองก็ต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงบุคลากร ระบบไอที การดูแลความเสี่ยง รวมถึงการกำกับดูแลต่าง ๆ แต่รายได้จากค่าธรรมเนียมกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามต้นทุนเหล่านั้น
แนวทางการขยายเวลาเทรด ดังกล่าว ก็เหมือน “เซลล์แมน” ที่คิดว่า “การเปิดร้านนานขึ้นแล้วจะขายได้มากขึ้น”
ทั้งที่ปัญหาจริงไม่ใช่เวลาเปิดร้าน แต่คือ ไม่มีลูกค้าที่อยากซื้อ เมื่อเปิดนานขึ้น สิ่งที่เพิ่มขึ้นจริงคือค่าไฟ ค่าแรง และความเหนื่อย ไม่ใช่ยอดขาย
เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว การขยายเวลาเทรดจึงกลายเป็นภาระเชิงโครงสร้างที่ต้องจ่ายเพิ่ม โดยไม่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ปัญหาที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ไม่ใช่เรื่อง “เวลาเทรดสั้นเกินไป” แต่เป็นเรื่องความเชื่อมั่น คุณภาพของบริษัทจดทะเบียน และสภาพคล่องที่หดหายไป
ในมุมมองนี้ การพิจารณายกเลิกการขยายเวลาเทรดและกลับไปสู่เวลาเดิม อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า พร้อมกับนำทรัพยากรที่มีไปโฟกัสในเรื่องที่สำคัญกว่า ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพตลาด การสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนระยะยาว หรือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นโดยรวมของระบบ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นรากฐานที่ส่งผลต่ออนาคตตลาดทุนไทยมากกว่าการเพิ่มเวลาอีกเพียง 30 นาทีในแต่ละวัน
ท้ายที่สุด การตัดสินใจเชิงนโยบายของตลาดทุนควรตั้งอยู่บนคำถามง่าย ๆ ว่า “สิ่งนี้ช่วยนักลงทุนจริงหรือไม่?”
หากคำตอบคือไม่ชัดเจน และยังสร้างต้นทุนให้กับทุกฝ่าย การทบทวนและการปรับเวลาเทรดกลับไปเหมือนเดิม “จึงไม่ใช่ความล้มเหลว” แต่คือการเลือกทางที่เหมาะสมกว่าเพื่อความแข็งแรงของตลาดในระยะยาวภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธิติ ภัทรยลรดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ธ.ค. 68)




