นายกฯ เรียกถกด่วนผลประชุม JBC หลังไร้ข้อสรุป กัมพูชาเดินหน้ายื่นศาลโลก

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 ที่จัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายน ที่ผ่านมา ในเวลา 10.00 น. จากเดิมที่ น.ส.สุชาตา ช่วงศรี มิสเวิลด์ 2025 และคณะ จะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในเวลา 10.00 น. โดยเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้ (17 มิ.ย.) เวลา 14.00 น. แทน

ขณะที่เมื่อคืนนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ ระบุว่า การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา Joint Boundary Commission (JBC) ครั้งที่ 6 ฝ่ายไทย มีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดน เป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทย ด้านฝ่ายกัมพูชามีนายลำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา เป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายกัมพูชา โดยคณะกรรมาธิการเขตแดน ประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ

ในแถลงการณ์ ระบุว่า ฝ่ายไทยแสดงความผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ต่อการที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาเฉพาะและลดความตึงเครียดระหว่างกัน แต่ยังเดินหน้านำเรื่องพื้นที่ 4 จุด (พื้นที่ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย) ไปสู่การพิจารณาของ ICJ ซึ่งสะท้อนว่า ฝ่ายกัมพูชาขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี

การประชุมมิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของ ICJ และมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด การประชุมในครั้งนี้ เป็นการหารือในประเด็นเทคนิคในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2 ของการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามแผนแม่บทฯ

ทั้งนี้ ประธานฝ่ายไทยได้ย้ำท่าทีไทยตอบโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา (ซึ่งได้บันทึกแนบไว้ในเอกสารผลลัพธ์ Agreed Minutes ของการประชุมครั้งนี้) ดังนี้

1. การดำเนินการของไทย เป็นไปโดยความจำเป็นตามหลักการป้องกันตัวจากการที่ถูกฝ่ายกัมพูชาโจมตีก่อน และเป็นไปอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

2. ไทยแสดงความผิดหวัง ที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะปิดประตูการเจรจาอย่างสันติใน 4 พื้นที่ โดยท่าทีของรัฐบาลไทยมาโดยตลอด ได้เน้นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันแบบทวิภาคี และบทบาทที่สำคัญของ JBC ในการทำให้มีเขตแดนชัดเจนระหว่างกัน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย

3. ไทยย้ำถึงความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องยึดมั่น MOU 2543 (ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เห็นชอบร่วมกับไทย) โดยไม่ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเขตแดน ไม่รุกล้ำเขตแดนระหว่างกัน และทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้ความอดกลั้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย

4. ทั้งสองฝ่ายจะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิด และขัดแย้งในวงกว้าง และย้ำถึงความสำคัญของการใช้กลไกความร่วมมือทวิภาคีอื่น ๆ ในการช่วยแก้ปัญหาด้วย เช่น GBC, RBC การประชุมผู้ว่าจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อให้แนวชายแดนมีความสงบเป็นปกติ และอำนวยความสะดวกการเดินทางของคนและขนส่งสินค้า ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธที่จะหารือในประเด็นนี้

พร้อมระบุว่า ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา สมัยพิเศษ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนกันยายน 2568

ขณะที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ออกหนังสือเชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยว ในเวลา 14.00 น. เพื่อหารือกรณี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศยุติการซื้อสัญญาณโทรคมนาคม และกระแสไฟฟ้าจากไทย เพื่อประเมินสถานการณ์และแนวทางการดำเนินการ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มิ.ย. 68)