ฟิทช์ คงอันดับเครดิต KBANK ที่ “BBB” และ “AA+” แนวโน้มมีเสถียรภาพ

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Issuer Default Rating) ของธนาคารกสิกรไทย [KBANK] ที่ “BBB” และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ “AA+” และแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ แม้ว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมจะมีแนวโน้มที่อ่อนแอลง จากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำในปี 68 แต่ KBANK เป็นหนึ่งในธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 16% ซึ่งช่วยให้ธนาคารมีขนาดธุรกิจเพียงพอที่จะสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันได้ในหลากหลาย

ด้านของกำไรของ KBANK ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 2.8% ณ สิ้นเดือนมี.ค. 68 ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการทั้งปีได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากฟิทช์คาดว่าอัตรากำไรอาจจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 68 จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงและแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง แต่ยังมองว่ายังมีความสามารถในการทำกำไรได้อย่างดี

ขณะที่แนวโน้มของคุณภาพสินทรัพย์ยังคงมีเสถียรภาพ โดยที่ธนาคารมุ่งเน้นในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เพิ่มเข้ามาใหม่ของธนาคารจะยังคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการนโยบายสินเชื่อที่ระมัดระวังเพิ่มขึ้นและมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ค่อนข้างต่ำมาตั้งแต่ปี 65 และส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมเฉลี่ย 4 ปี คาดว่าจะยังอยู่ต่ำกว่า 4% ได้

สำหรับพอร์ตสินเชื่อของ KBANK แม้ว่าจะมีความผันผวน จากสัดส่วนสินเชื่อกลุ่มลูกค้า SME ที่มากกว่าธนาคารขนาดใหญ่รายอื่น ซึ่งสินเชื่อกลุ่มลูกค้า SME มีความเปราะบางมากกว่า ซึ่งในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจอ่อนแอธนาคารได้ปรับนโยบายการให้สินเชื่อให้มีความระมัดระวังมากขึ้นและมีการเติบโตของสินเชื่อในระดับต่ำตั้งแต่ปี 65 แต่ก็มองว่าธนาคารอาจมีนโยบายกลับมาเน้นการเติบโตเมื่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้ฐานะเงินกองทุนของ KBANK ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นเป็น 17.6% ณ สิ้นไตรมาส 1/68 จากปีก่อนที่ 17.3% จากการสะสมกำไร และคาดว่าอัตราส่วน CET1 จะยังคงช่วยรองรับความเสี่ยงเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การเติบโตของสินเชื่อจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องในช่วง 2 ปีข้างหน้า

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มิ.ย. 68)