
ฟอร์จูน (Fortune) เปิดเผยผลการจัดอันดับ ฟอร์จูน เซาท์อีสต์ เอเชีย 500 (Fortune Southeast Asia 500) ประจำปี 2025 ซึ่งเป็นการจัดอันดับรายชื่อบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคประจำปีครั้งที่สอง โดยจัดตามรายได้ปีงบประมาณ 2024 การที่ฟอร์จูนให้ความสำคัญกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนให้เห็นว่าภูมิภาคนี้กำลังกลายเป็นกลไกการเติบโตที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วทันต่อเศรษฐกิจโลก โดยมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และดึงดูดกำลังการผลิตที่ย้ายมาจากจีนเนื่องจากอัตราภาษีที่สูงขึ้นและความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ
7 ประเทศที่อยู่ในรายชื่อ Southeast Asia 500 ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ยังคงติดรายชื่อในปี 2025 และยังคงมีบทบาทสูงต่อเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยมีอินโดนีเซียเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวน 109 บริษัทในรายชื่อ ตามมาด้วยประเทศไทย มี 100 บริษัท มาเลเซียมี 92 บริษัท แซงหน้าสิงคโปร์ที่มี 81 บริษัท ขณะที่เวียดนามมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 76 บริษัท ส่วนฟิลิปปินส์มี 40 บริษัท และกัมพูชามี 2 บริษัทในรายชื่อ
อุตสาหกรรมพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจหาทรัพยากร การผลิตไฟฟ้า หรือการส่งกระแสไฟฟ้า เป็นภาคธุรกิจที่โดดเด่นในรายชื่อปี 2025 โดยมีสัดส่วนรายได้เกือบหนึ่งในสามของรายได้รวมทั้งหมด บริษัทโรงกลั่นน้ำมันและพลังงานของไทยอย่าง บางจาก (Bangchak) เข้าสู่ 20 อันดับแรกในปีนี้ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้น 47% นอกจากนั้นบริษัทการเงินยังเป็นภาคธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศไทยยังคงรักษาบทบาทในฐานะผู้ผลักดันเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยมีบริษัทไทยติดอันดับถึง 100 บริษัท และมีถึง 5 บริษัทที่ถูกจัดอยู่ใน 20 อันดับแรกเมื่อวัดจากรายได้ บมจ.ปตท. [PTT] ยังคงความแข็งแกร่งอยู่ในอับดับที่ 2 ในขณะที่บริษัทชั้นนำของไทยที่มีผลประกอบการโดดเด่นได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์ [CPALL], บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร [CPF], บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น [BCP] และ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส [IVL]
ที่สำคัญคือ ธนาคารและบริษัทการเงิน 13 แห่งอยู่ในกลุ่ม 20 บริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุด โดย ดีบีเอส (DBS) ของสิงคโปร์มีกำไรเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วย แบงก์ แมนดิริ (Bank Mandiri) และ แบงก์ รักยัต อินโดนีเซีย (Bank Rakyat Indonesia) เป็นอันดับ 4 และ 5 ตามลำดับ ในส่วนของประเทศไทย ธนาคารกสิกรไทย [KBANK] ขึ้นแท่นร่วมกับ ปตท. ในฐานะหนึ่งในสองบริษัทไทยที่ติดอันดับ 20 บริษัทที่มีกำไรมากที่สุด
บริษัทไทยที่ติดอับดับไม่ได้จำกัดอยู่ในกลุ่มบริษัทชั้นนำเก่าแก่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย โดย 4 บริษัท ได้แก่ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป [AWC], BCP, บมจ.ไทยอีสเทิร์นกรุ๊ปโฮลดิ้งส์ [TEGH] และ บมจ.ท่าอากาศยานไทย [AOT]ที่ติดอันดับ 20 บริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดเมื่อวัดจากรายได้ โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ความต้องการทรัพยากร และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงด้านผู้นำองค์กรของภูมิภาค ด้วยจำนวนซีอีโอเพศหญิงและผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งช่วยขับเคลื่อนให้ภูมิทัศน์ของภาคธุรกิจมีความหลากหลาย และมีแนวคิดที่มองไปข้างหน้า
เทรฟิกูรา (Trafigura) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ คว้าอันดับ 1 ในรายชื่อ Fortune Southeast Asia 500 เป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยสร้างรายได้มากกว่า 243 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ตามมาด้วย ปตท. (PTT) ของไทย เป็นอันดับ 2, เพอร์ตามินา (Pertamina) ของอินโดนีเซีย เป็นอันดับ 3 ตามด้วยวิลมาร์ (Wilmar) และ โอแลม (Olam) บริษัทด้านอาหารและธุรกิจการเกษตรยักษ์ใหญ่ของสิงคโปร์ เป็นอันดับ 4 และอันดับ 5 โดยห้าบริษัทชั้นนำนี้สร้างรายได้เกือบ 516 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 28% ของรายได้รวมของบริษัททั้งหมด 500 แห่งในรายชื่อ
โดยรวมแล้ว 10 บริษัทอันดับแรกสร้างรายได้ 660 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 36% ของรายได้รวมทั้งหมดในรายชื่อ ในขณะที่ บริษัท 20 อันดับแรกมีรายได้รวม 836 พันล้านดอลลาร์ ถือเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของบริษัททั้งหมด 500 แห่งในรายชื่อ ที่น่าสังเกตคือ บริษัท 20 อันดับแรกของอินโดนีเซียสร้างรายได้ 222.8 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 69% ของรายได้รวมของบริษัทอินโดนีเซียทั้งหมด 109 แห่งในรายชื่อ Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 นอกจากนี้ บริษัทอินโดนีเซียสามแห่งยังติด 20 อันดับแรกเมื่อวัดจากรายได้ ได้แก่ เพอร์ตามินา (Pertamina) อันดับ 3, พีแอลเอ็น (PLN) อันดับ 6 และ แบงก์ รักยัต อินโดนีเซีย (Bank Rakyat Indonesia) อันดับ 14
เมื่อมองในภาพรวม บริษัทในรายชื่อปี 2025 สร้างรายได้รวม 1.82 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 1.79 ล้านล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า ซึ่งเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่จะได้รับการจัดอันดับในรายชื่อปี 2025 คือ 349.4 ล้านดอลลาร์
เคลย์ แชนด์เลอร์ (Clay Chandler) บรรณาธิการบริหาร ฟอร์จูน เอเชีย กล่าวว่า “ความสนใจที่ฟอร์จูนมีต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาคนี้ในฐานะกลไกการเติบโตของโลก และกำลังเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกที่สำคัญ ซึ่งดึงดูดเงินทุนจำนวนมาก แนวโน้มดังกล่าวยังได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาษีในยุคทรัมป์ ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนพลวัตการค้าโลกและผลักดันให้เกิดการโยกย้ายฐานธุรกิจไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น”
นิค กอร์ดอน บรรณาธิการ ฟอร์จูน เอเชีย ตั้งข้อสังเกตในบทนำของรายชื่อใหม่ในนิตยสาร ฟอร์จูน เอเชีย (Fortune Asia) ฉบับเดือนมิถุนายน/กรกฎาคม 2025 ว่า “Fortune Southeast Asia 500 สะท้อนให้เห็นภาพรวมของภูมิภาคที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น เหมืองแร่, ยานยนต์ไฟฟ้า และ AI – แม้ว่านโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลในการลดทอนผลกำไรบางส่วนจากปีที่แล้ว”
บริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วในด้านรายได้ มีหลายบริษัทที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในรายชื่อเป็นครั้งแรก เช่น เนชั่นเกต (NationGate) บริษัทผลิตชิ้นส่วนที่มีความแม่นยำของมาเลเซีย, เพทรินโด จายา เครียซี (Petrindo Jaya Kreasi) บริษัทเหมืองแร่และพลังงานของอินโดนีเซีย และ ทัสโก เจเอสซี (Tasco JSC) บริษัทโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง และบริการยานยนต์ของเวียดนาม รวมถึงบริษัทที่กลับมาอยู่ในรายชื่ออีกครั้ง เช่น ดิจิพลัส อินเตอร์แอคทีฟ (DigiPlus Interactive) บริษัทเกมออนไลน์ของฟิลิปปินส์ และบริษัทด้านท่องเที่ยวและการขนส่ง เช่น แสทส์ (SATS) บริษัทจัดเลี้ยงและโลจิสติกส์การบินของสิงคโปร์, ชางงี แอร์พอร์ต กรุ๊ป (Changi Airport Group) และ ท่าอากาศยานไทย (Airports of Thailand) สำหรับในปี 2024 บริษัทที่เติบโตเร็วที่สุด 20 อันดับแรกได้รับแรงหนุนอย่างเด่นชัดจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ความต้องการด้านทรัพยากร เช่น ถ่านหิน นิกเกิล พลังงาน การปฏิวัติดิจิทัล และการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในด้านสัญญาณเชิงบวกของผู้นำเพศหญิงในภูมิภาค นักวิเคราะห์ของฟอร์จูนตั้งข้อสังเกตว่ามีซีอีโอหญิงจำนวน 37 คนในรายชื่อบริษัทใน Fortune Southeast Asia 500 เพิ่มขึ้นจาก 29 คนเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีผู้หญิง 37 คนที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท แนวโน้มการเติบโตของความหลากหลายนี้ ผนวกกับการที่มีซีอีโอจำนวน 10 คนที่อยู่ในช่วงวัย 30 ปี เน้นย้ำถึงภาพรวมของผู้นำที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของภูมิภาคนี้ ขณะที่อายุเฉลี่ยของซีอีโอของบริษัททั้ง 500 แห่งอยู่ที่ 58 ปี โดยรวมแล้ว บริษัทใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 มีพนักงานมากกว่า 6.3 ล้านคน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มิ.ย. 68)