
เมื่อวานนี้ (29 มิ.ย.) กรมตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชาได้ประกาศระงับการขนส่งสินค้าทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อตอบโต้ที่ฝ่ายไทยปิดพรมแดนแต่เพียงฝ่ายเดียวก่อนหน้านี้ พร้อมยื่นเงื่อนไขว่ากัมพูชาจะกลับมาเปิดพรมแดนอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อไทยยกเลิกมาตรการทั้งหมดและกลับสู่สถานการณ์ปกติเหมือนก่อนเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. เท่านั้น โดยสมเด็จฯ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ย้ำว่า “กุญแจสำคัญในการเปิดพรมแดนอยู่ในมือของฝ่ายไทย”
สื่อกัมพูชารายงานว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่ถึง 30 นาทีหลังจากที่สมเด็จฯ ฮุน มาเนต ได้ตอบกลับจดหมายจากทางการไทยในจังหวัดสระแก้ว ที่ร้องขอให้กัมพูชาเปิดด่านบางแห่งเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน
แถลงการณ์จาก GDI ระบุว่า คำสั่งระงับนี้ครอบคลุมการนำเข้า ส่งออก และการขนส่งผ่านแดนทุกรูปแบบ ณ จุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนทุกแห่ง โดยเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
ในการตอบกลับฝ่ายไทย สมเด็จฯ ฮุน มาเนต ได้ชี้แจงจุดยืนของกัมพูชา 4 ประเด็นสำคัญ โดยย้ำว่ากัมพูชาเข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนและหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการตอบโต้มาโดยตลอด แม้จะเกิดกรณีพิพาทมอมเบย (ช่องบก) ขึ้นก่อนหน้านี้ เพราะไม่ต้องการสร้างความตึงเครียดหรือส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และชี้ว่ากัมพูชาไม่ใช่ฝ่ายที่เริ่มปิดพรมแดน แต่เป็นกองทัพไทยที่เริ่มจำกัดการเข้าออกแต่ฝ่ายเดียวตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. จนรัฐบาลไทยประกาศปิดอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 24 มิ.ย.
นายกฯ กัมพูชาระบุว่า ท่าทีทางการเมืองที่คาดเดาไม่ได้และการขาดการประสานงานระหว่างรัฐบาลและกองทัพไทย ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการหาทางออกที่ยั่งยืน
“ทางออกนั้นไม่ซับซ้อน หากไทยกลับไปใช้สถานะเดิมก่อนวันที่ 7 มิ.ย. และให้คำมั่นว่าจะไม่มีการกระทำโดยพลการอีก กัมพูชาก็พร้อมจะเปิดพรมแดนทันที” สมเด็จฯ ฮุน มาเนต กล่าว
“ไม่จำเป็นต้องยื่นเรื่องร้องขอมายังกัมพูชา ขอให้ไปร้องขอผู้มีอำนาจในประเทศไทยให้เปิดพรมแดนและรับรองว่าจะไม่มีการปิดตามอำเภอใจอีก เมื่อนั้นทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ”
ด้านนักเศรษฐศาสตร์กัมพูชามองว่า ไทยควรเป็นฝ่ายนำในการฟื้นฟูการเข้าออกพรมแดนให้กลับสู่สถานะเดิม ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะภาคธุรกิจและผู้ส่งออกของไทยเอง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มิ.ย. 68)