ดีลอยท์ชี้ นักธุรกิจอังกฤษเริ่มเมินลงทุนในสหรัฐฯ เหตุไม่มั่นใจแผนนโยบายทรัมป์

ดีลอยท์ (Deloitte) เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดในวันนี้ (7 ก.ค.) พบว่า ผู้บริหารการเงินระดับสูงของบริษัทชั้นนำในอังกฤษเริ่มมีความสนใจลงทุนในสหรัฐฯ น้อยลง หันไปมองโอกาสใกล้บ้านมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ผลสำรวจระบุว่า มีเพียง 2% ที่ยังมองว่าสหรัฐฯ เป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าสนใจ ลดลงจากระดับ 59% ในช่วงปลายปี 2567 ก่อนที่ทรัมป์จะหวนคืนสู่ทำเนียบขาว

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับรายงานของทางการสหรัฐฯ เมื่อเดือนก่อน ซึ่งระบุว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงอย่างมากในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนความกังวลของนักธุรกิจต่างชาติที่มีต่อแผนภาษีนำเข้าของทรัมป์

ในทางกลับกัน ผู้บริหารอังกฤษกลับให้ความสนใจตลาดในประเทศมากขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นพุ่งจาก -12% เป็น +13% ทำให้อังกฤษขึ้นแท่นเป็นจุดหมายการลงทุนอันดับหนึ่งร่วมกับอินเดีย

แม้ความสนใจต่อสหรัฐฯ จะลดลง แต่ผลสำรวจระบุว่า สหรัฐฯ ยังน่าสนใจกว่าตลาดยุโรปตะวันตกและจีน ซึ่งต่างมีคะแนนติดลบ

ริชาร์ด ฮูสตัน หุ้นส่วนอาวุโสและซีอีโอของดีลอยท์อังกฤษ กล่าวว่า ผลสำรวจนี้สะท้อนมุมมองใหม่ของนักลงทุนที่เห็นว่าอังกฤษกลับมาเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก ความเชื่อมั่นที่ฟื้นตัว บวกกับความพร้อมรับความเสี่ยง เป็นสัญญาณบวกต่อศักยภาพด้านการลงทุนของประเทศ

ตามข้อมูลของสหรัฐฯ อังกฤษยังคงเป็นนักลงทุนโดยตรงในสหรัฐฯ อันดับ 4 ของโลกในปี 2566 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 6.36 แสนล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ผลสำรวจจัดทำระหว่างวันที่ 16-29 มิ.ย. โดยเก็บข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (CFO) ของ 66 บริษัท ในจำนวนนี้มี 37 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3.86 แสนล้านปอนด์

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.ค. 68)