หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าย่อตัว ผิดหวังสหรัฐเก็บภาษีไทยเท่าเดิมซึ่งสูงกว่าคู่แข่ง กระทบลงทุน-ส่งออก

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีย่อตัว หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศในวันจันทร์ (7 ก.ค.) ถึงอัตราภาษีนำเข้าใหม่โดยไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่บางประเทศได้ปรับลดอัตราภาษีลงเล็กน้อย ซึ่งไทยถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งทางการค้าสำคัญอย่างเวียดนามที่ถูกเรียกเก็บอัตราภาษี 20% ภาพรวมค่อนข้างเหนื่อยสำหรับการลงทุน และการส่งออกของไทย

ทั้งนี้มองว่าการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐที่ผ่านมา ค่อนข้างน่าผิดหวัง ต้องติดตามช่วงที่เหลือก่อนมาตรการจะบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค. ว่าข้อเสนอใหม่ของไทยจะเป็นที่พอใจสำหรับสหรัฐหรือไม่ และจะได้ปรับลดอัตราภาษีมาที่ระดับเท่าไร เนื่องจากเวียดนามเสนอข้อเสนอแบบสุดซอย ยังถูกเรียกเก็บในอัตราที่สูง

โดยตลาดหุ้นไทยระยะสั้นคาดดัชนีย่อตัวลงมาก่อน หลังเมื่อวานนี้ดัชนีย่อตัวพยายามดีดกลับ ในเชิงดัชนีตลาดผิดหวังในประเด็นดังกล่าว

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น หากนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะชะลอการลงทุน ขณะที่ฝั่งนักนักลงทุนสถาบันอาจต้องปรับลดน้ำหนักหุ้น ลดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกลงมา เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง นิคมอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม Demestic play ที่ Valuation ลงมาลึก อาทิ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มโรงไฟฟ้า โรงพยาบาล สื่อสาร หรือกลุ่มปันผลสูง

โดยให้กรอบแนวรับ 1,090 จุด และแนวต้าน 1,113 จุด

ด้านบล.กสิกรไทย ระบุว่า วันนี้ คาดว่า SET Index ของไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากวันที่ผ่านมาอยู่ในกรอบ 1,090-1,120 จุด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากประเทศไทยในอัตราที่ 36% โดยเริ่มมีผลวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามในอัตราที่ 20%, มาเลเซียที่ 25%, และอินโดนีเซียในอัตราที่ใกล้เคียงกันที่32% อาจส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกของไทยลดลง โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ ในขณะเดียวกันด้วยแรงกดดันของภาพการส่งออกใน 2H25 อาจหนุนให้แนวโน้มการเติบโตของ GDP และภาคการบริโภคของเอกชนของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวซึ่งส่งผลกระทบทางอ้อม กดดันการลงทุนตลาดหุ้นไทย ในส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำกลุ่ม defensive อย่าง BCH และ GULF

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (7 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,406.36 จุด ลดลง 422.17 จุด หรือ -0.94%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,229.98 จุด ลดลง 49.37 จุด หรือ -0.79% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,412.52 จุด ลดลง 188.59 จุด หรือ -0.92%

– ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 39,542.07 จุด ลดลง 45.61 จุด หรือ -0.12% แต่หลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาที ดัชนีนิกเกอิดีดตัวขึ้น 170.90 จุด หรือ +0.43% มาอยู่ที่ 39,758.58 จุด ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,474.63 จุด เพิ่มขึ้น 1.5 จุด หรือ +0.04% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 23,927.53 จุด เพิ่มขึ้น 39.70 จุด หรือ +0.17% ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้น 0.44%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 ก.ค.) 1,123.00 จุด เพิ่มขึ้น 3.06 จุด (+0.27%) มูลค่าการซื้อขาย 31,447.59 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ (7 ก.ค.) 566 ล้านบาท

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. (7 ก.ค.) เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.39% ปิดที่ 67.93 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 ก.ค.) อยู่ที่ 5.44 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 32.53 แกว่งกรอบแคบ จับตาภาษีสหรัฐ หลังยังเปิดให้เจรจา คาดกรอบวันนี้ 32.50-32.75

– ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศในวันจันทร์ (7 ก.ค.) ว่า ประเทศต่าง ๆ อย่างน้อย 14 ประเทศจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. โดยจะมีบางประเทศถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น สำหรับประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.

– ตลท. ติดตามสถานการณ์ “ภาษีทรัมป์” ใกล้ชิด ชี้สหรัฐเลื่อนเกณฑ์เก็บภาษีเป็น 1 ส.ค. นี้ ถือเป็นข่าวดี ย้ำมีมาตรการรับมือ “หุ้นไทย” ผันผวน พร้อมเตือนอย่าเพิ่งตื่นข่าว “ทรัมป์” เก็บภาษีเพิ่ม 10% จากประเทศหนุน “กลุ่มบริกส์” แนะรอดูรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้ง พร้อมชูตลาดหุ้นไทยสุดแข็งแกร่งในช่วงสงคราม

– “พาณิชย์” เผยเงินเฟ้อ มิ.ย.68 ลด 0.25% เทียบเดือนเดียวกันของปี 37 ลดลง 3 เดือนติด ยืนยันยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด ยังคงเป้าทั้งปี 0.0-1.0% ด้าน ททท.เร่งเครื่องกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศเชิงรุกรับไฮซีซัน

– นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการ และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ตลท. อยู่ระหว่างศึกษาการตั้งกองทุน นิวอีโคโนมี่ หรืออุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งเป็นการศึกษาในหลากหลายมุมมองเพื่อผลักดันและสร้างโอกาสให้ บริษัทใหม่ๆ ทั้งเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ ขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถเข้าถึงตลาดทุนและเงินทุนเพื่อนำไปเสริมสร้างและต่อยอดธุรกิจได้

– เลขา ก.ล.ต.เผยผลการออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือไทยอีเอสจีเอ็กซ์ และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนแอลทีเอฟไปไทยอีเอสจีเอ็กซ์ ว่า ในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่ดำเนินการ โดยสิ้นสุดมาตรการเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.68 พบว่า กองทุนไทยอีเอสจีเอ็กซ์ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมประมาณ 32,168 ล้านบาท

– “วิสุทธิ์” ลั่น 9 ก.ค.นี้ รัฐบาลถอน “ร่างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ ออกจากสภาฯแน่ พร้อมดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พิจารณาต่อ ส่วน แก้ รธน.ขอให้เป็นไปตามขั้นตอน ย้ำ พท.ไม่แก้หมวด 1-2 ด้านฝ่ายค้านยื่นแก้ รธน.รายมาตรา เน้นปรับกระบวนการสรรหาองค์กรอิสระให้โปร่งใส-เป็นธรรม เปิดทางให้ประชาชนถอดถอนได้ “พริษฐ์” ย้ำเป้าหมายลดอิทธิพลการเมือง สร้างองค์กรอิสระ ที่ยึดโยงประชาชน วิปรัฐบาลไฟเขียว “ร่าง พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข” เข้าสภาฯคิวแรกพุธนี้ แต่มีมติไม่รับร่างนิรโทษกรรม ของ “ชัยธวัช-ภาคปชช.” เหตุมีเรื่อง ม.112

– “ภูมิธรรม” ยอมรับเลขาฯกฤษฎีกาแจง ครม. อำนาจรักษาการนายกฯยุบสภาฯไม่ได้ แย้มเป็นแค่ความเห็นเช่นเดียวกับมุมมองกฎหมาย “วิษณุ” ก็ต้องฟัง ยันรัฐบาลยังไม่ยึดแนวทางไหน เหตุยังไม่เกิด หวั่นสร้างความไม่มั่นใจ “วิสุทธิ์” บอกนายกฯชั่วคราวรอตามคิว ชี้เพื่อไทยยังมี “ชัยเกษม” แคนดิเดต นายกฯจ่อชิงเก้าอี้ ด้าน “สุชาติ” เตรียมลาออก สส.บัญชีรายชื่อ “เอกพร รักความสุข” จ่อคิวเสียบ ด้านเลขาฯกฤษฎีกาอธิบายหลักการรัฐธรรมนูญ ย้ำชัด ‘รักษาการนายกฯ’ ไร้อำนาจยุบสภาฯ-ตั้ง รมต. ชี้เป็นอำนาจเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

 

หุ้นเด่นวันนี้

– CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บาท คาดกำไรไตรมาส 2/68 ยังเติบโตแข็งแกร่งที่ 6.9 พันลบ. -4% q-q แต่ยัง +12% y-y โดยแม้รายได้จะเติบโตไม่ได้สุงมากนักที่ +1.4% q-q, +3.4% y-y แต่ยังคงได้แรงหนุนจาก Margin ที่ยังแข็งแกร่งจากสินค้าอาหารและเครื่องดื่มพร้อมทานที่เติบโตดี เรามองธุรกิจของ CPALL มีความยืดหยุ่นสูงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็น และกระทบจำกัดจากความเสี่ยงภายนอกโดยเฉพาะภาษีการค้าสหรัฐฯ เราคาดกำไรปี 2025-27 +9.4% CAGR

– GULF (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 61.00 บาทเรามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น GULF จากโครงสร้างธุรกิจที่มีความมั่นคงและป้องกันความเสี่ยงได้ดี โดยเราประเมินว่า GULF แทบไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร เนื่องจาก 92% ของรายได้มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ.80% จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 3% จากพลังงานหมุนเวียน 9% จากธุรกิจ LNG ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (regulatory risk) อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่น เพราะมีเพียง 6% ของรายได้เท่านั้นที่มาจากโรงไฟฟ้า SPP ซึ่งขายไฟให้ภาคอุตสาหกรรม GULF ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2025 ที่ระดับ 25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 4 ด้าน รับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าใหม่ หน่วยที่ 3 และ 4 ของโครงการ GPD, โรงไฟฟ้า HKP โรงไฟฟ้าใหม่ที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2025 หน่วยที่ 2 ของ HKP (770MW เริ่ม ม.ค. 2025) โครงการโซลาร์เพิ่มเติมราว 707MW (รวมโซลาร์ฟาร์ม, โซลาร์+BESS และโซลาร์รูฟท็อป) คาด COD ภายในสิ้นปี นอกจากนี้รายได้จากเงินลงทุนใน ADVANC คาดรับรู้กำไรจาก ADVANC ประมาณ 1.0-1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2025 และจะเพิ่มเป็น 1.5-1.8 หมื่นล้านบาท ต่อปีตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไปและสถานะเครดิตของ GULF ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ อันดับเครดิตเพิ่มขึ้นจาก A+ เป็น AA- ด้วยภายหลัง amalgamation

– IVL (กรุงไทย เอ็กซ์สปริง) Bloomberg Fair Price: 24.77 บาท แนวโน้มไตรมาส 2/68 น่าจะปรับตัวดีขึ้นจาก ไตรมาส 1/68 เพราะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขายของอุตสาหกรรม ขณะที่ล่าสุดบริษัทร่วมมือกับ PolySource เป็นผู้แทนจาหน่ายอย่างเป็นทางการในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Specialty PET และ Specialty PEN ในทวีปอเมริกาเหนือและตลาดหลักทั่วโลก เพื่อเสริมสร้างฐานธุรกิจในตลาดโพลีเอสเตอร์ชนิดพิเศษระดับโลก

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.ค. 68)