
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ (11 ก.ค.) ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดีดตัวขึ้นในวันพฤหัสบดี (10 ก.ค.) แต่ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากแคนาดาในอัตรา 35%
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 39,593.84 จุด ลดลง 52.52 จุด หรือ -0.13%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ระดับ 24,485.49 จุด เพิ่มขึ้น 457.12 จุด หรือ +1.90% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ระดับ 3,546.50 จุด เพิ่มขึ้น 36.82 จุด หรือ +1.05%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้น 0.1% และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียบวก 0.03%
ตลาดหุ้นเอเชียบวกตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 ก.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 235,000 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียมีความผันผวนในวันนี้ หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาในอัตรา 35% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้
การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่เขาประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจาก 8 ประเทศในวันพุธ (9 ก.ค.) โดยเรียกเก็บภาษี 30% จากแอลจีเรีย อิรัก ลิเบีย และศรีลังกา, 25% จากบรูไนและมอลโดวา, 20% จากฟิลิปปินส์ และ 50% จากบราซิล โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. เช่นกัน
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ NBC News เมื่อวันพฤหัสบดี (10 ก.ค.) ว่า เขามีแผนจะเก็บภาษีนำเข้าในอัตราเหมา 15% หรือ 20% กับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่
นอกจากนี้ ทรัมป์ระบุว่า มาตรการภาษีดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดี และกล่าวว่า “ตลาดหุ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในวันนี้” ระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์กับคริสเตน เวลเกอร์ ผู้ดำเนินรายการ “Meet the Press” ของ NBC News
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ค. 68)