
รู้หรือไม่ว่าอาณาจักร “ดุสิตธานี” กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล! ไม่ใช่แค่โรงแรม แต่กำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ด้วยเมกะโปรเจกต์ 4.6 หมื่นล้านบาท และกลยุทธ์ที่โดดเด่นจะทำให้ DUSIT กลับมาผงาด พร้อมรายได้ที่อาจทะลุเพดานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จากรายได้ที่ทำนิวไฮไปเมื่อปีก่อน ปีนี้เตรียมพลิกมีกำไร และปีหน้าหวังจะเฉิดฉายกว่าเดิมอีก อะไรทำให้ DUSIT มั่นใจขนาดนี้?
หัวใจของการเปลี่ยนแปลงคือโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” โปรเจกต์ยักษ์มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ที่กำลังจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ และที่น่าตื่นเต้นคือ โซนห้างสรรพสินค้าเตรียมเปิดให้บริการช่วงกลางเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนนี้แล้ว
ทิศทางของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT ให้สัมภาษณ์กับ”อินโฟเควสท์”ว่า ในช่วง 3-5 ปีนี้ กลุ่มดุสิตธานียังคงก้าวเดินด้วยกลยุทธ์ที่ชูธุรกิจโรงแรมเป็นแกนหลักของกลุ่ม ต่อยอดด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยนำที่ดินโรงแรมในกลุ่ม DUSIT ไปตีมูลค่าเพื่อร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจต่างๆ ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีรูปแบบแตกต่างกันไป
กลยุทธ์นี้ DUSIT ไม่ต้องควักเงินตัวเอง แต่ใช้ที่ดินเป็นทุน ขณะที่พันธมิตรจะใส่เงินทุนเติมเข้ามา ทำให้บริษัทไม่ต้องแบกรับภาระมาก และอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการและชื่อเสียงของ “ดุสิตธานี” ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่จะช่วยให้การพัฒนาโครงการน่าดึงดูดมากขึ้น
นางศุภจี ย้ำว่า DUSIT จะเน้นใช้สินทรัพย์หรือที่ดินที่มีอยู่ไปต่อยอด หรือ Asset Optimazation เพื่อสร้างมูลค่า ดังนั้นจะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ทยอยพัฒนาในที่ดินของกลุ่มดุสิตธานี หรือแลนด์แบงก์ที่มีอยู่ในมือ
- โครงการล่าสุดที่เปิดตัวคือ ดุสิต อจารา หัวหิน (DUSIT AJARA Hua Hin) ในรูปแบบเรสซิเดนซ์ ใช้พื้นที่ด้านหน้าโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ต่อยอดจากโรงแรมในลักษณะ Multi General Living Concept เพื่อรองรับลูกค้าทุกช่วงวัย คาดจะเปิดขายได้ในเดือน ส.ค.นี้ ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี เป็นการจับมือกับพันธมิตรในประเทศ
- ภูเก็ต เป็นการต่อยอดจาก โรงแรม ดุสิต ลากูน่า ภูเก็ต นำพื้นที่สนามเทนนิสของโรงแรม มาพัฒนาเป็น Service Apartment ตอบโจทย์คนที่อยากจะอยู่ภูเก็ตนานขึ้น โดยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี [DREIT]ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงแรมฯ จะจัดหาเงินทุนมาพัฒนาโครงการด้วยตัวเอง
- พัทยา จากโรงแรม ดุสิตธานี พัทยา บริษัทได้เซ็นต่อสัญญาเช่าพื้นที่ล่วงหน้าอีก 30 ปี จากที่เหลืออยู่ 3-4 ปี เตรียมแผนพัฒนาโครงการ “มิกซ์ยูส” ทั้งโรงแรม พื้นที่ร้านค้า(Retail) ในลักษณะ Community Mall และอาจจะมี Apartment ที่รองรับ Long Stay เพื่อเพิ่มศักยภาพของโครงการและสามารถตอบโจทย์เรื่องการเงินและความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1-2 พันล้านบาท ใช้โมเดลพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วม แต่จะเริ่มก็ต่อเมื่อ Dusit Residences และ Dusit Parkside ใน”ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” เริ่มโอนในไตรมาส 4/68 ถึงปี 69 คาดว่าจะรับรู้ตามยอดขายแล้ว 1.6 หมื่นล้านบาท
- DUSIT ยังมีแลนด์แบงก์อีกหลายแห่ง รวมถึงที่สมุย 77 ไร่ริมทะเล รอการพัฒนาในอนาคต
“เราจะนำสินทรัพย์ที่เรามีต่อยอดให้มีการเจริญเติบโตต่อไป โดยที่ไม่ต้องใช้เงินทุนมากนัก คือเราไม่ได้ทำด้วยตัวเองคนเดียว เรามีที่ดิน ที่จะเป็น Equity และมีพาร์ทเนอร์ใส่เงินสดเข้ามา เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะ …เราไม่ได้มองว่าเราเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ แต่เราเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจโรงแรม ที่ทำธุรกิจอสังหาฯบางอย่างขึ้นมา เป็นการตอบโจทย์ Balance รายได้ระหว่างรายได้ระยะสั้น และรายได้ระยะยาว”
เปิดวิสัยทัศน์สู่อนาคต
นางศุภจี กล่าวว่า ปัจจุบันรายได้หลักของกลุ่ม DUSIT มาจากธุรกิจโรงแรมในสัดส่วน 60-65% รองลงมา คือ ธุรกิจอาหาร 25% ที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการศึกษา แต่ในปี 69 ที่จะมีการรับโอนโครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside เข้ามาเต็มที่ราว 1.6 หมื่นล้านบาท ก็จทำให้สัดส่วนรายได้จากอสังหาฯขึ้นมาเหนือกว่าธุรกิจโรงแรม
แต่กลุ่ม DUSIT ก็ยังเดินหน้าขยายธุรกิจรับบริหารโรงแรมทั่วโลก จากเดิมมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ วันนี้ DUSIT บริหารโรงแรมและวิลล่ากว่า 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศแล้ว เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง รวมถึงแบรนด์ ASAI ที่เจาะกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ก็กำลังมาแรง
นางศุภจี กล่าวว่า DUSIT ยังคงความเป็นเจ้าของโรงแรมเพียง 10 แห่ง แต่ได้ปรับเปลี่ยนโรงแรมยุทธศาสตร์ อาทิ โรงแรมแบรนด์ ASAI เจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ ซึ่งจะใช้เป็นโมเดลในการรับบริหารโรงแรมด้วย ได้แก่ โรงแรม ASAI Kyoto เป็นต้น

ด้านธุรกิจอาหาร ผ่านบริษัท ดุสิตฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ร่วมกับพันธมิตรขยายฐานลูกค้า โดยมี บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด เป็นหัวหอกสำคัญให้บริการ Catering กับโรงเรียนนานาชาติ และเมื่อ Green House & Sumitomo Corporation เข้ามาร่วมทุน 20% ในเอ็บเพอคิวร์ฯ จะช่วยให้ขยายฐานไปในหลายประเทศ
รวมถึง “บองชู” และ Port Royal ในธุรกิจเบเกอรี่ ได้ขยายสาขาไปแล้ว 99 สาขาทั้งในไทย จีน และเวียดนาม ซึ่งน่าจะขยายสาขาต่อเนื่อง รวมถึงขยายฐานลูกค้าแบบ B2B ด้วย
“กลุ่มดุสิตธานี จะนำธุรกิจในกลุ่มเชื่อมโยงกัน และต่าง Synergy ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างรายได้หลากหลายธุรกิจ สร้างฐานให้กลุ่มดุสิตธานีมีความมั่นคงต่อเนื่อง”
นางศุภจี กล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า DUSIT กัยังคงเดินธุรกิจไปด้วย 3 เป้าหมายเหมือนเดิม คือ
1.ทำให้ DUSIT มีความสมดุลของรายได้มากขึ้น
2.ขยายธุรกิจโดยไม่ต้องใช้เงินทุนตัวเอง
3.Diversify ธุรกิจให้หลากหลายมากขึ้นเพื่อให้ DUSIT มีความมั่นคงมากขึ้น
รวมถึงคงเจตนารมณ์ของคุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้ง “ดุสิตธานี” ที่จะทำให้แบรนด์ “ดุสิต” เป็นที่ชื่นชมและมีมาตรฐานระดับโลก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.ค. 68)