
เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ต้องออกโรงเป็นคนกลางเจรจากับสส. จากพรรครีพับลิกันด้วยกันเอง หลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันที่อาจทำให้ร่างกฎหมายคริปโทเคอร์เรนซีที่รอคอยกันมานานต้องหยุดชะงัก
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากสภาผู้แทนราษฎรได้มีการลงมติในขั้นตอนทางระเบียบวาระในวันอังคาร แต่ผลกลับออกมาว่าเสียงไม่พอ ทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกปัดตกไปในเบื้องต้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวกับคริปโทฯ ร่วงลงทันที
ทว่าในช่วงค่ำวันเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ได้ออกแถลงการณ์ว่า เขาได้เชิญสมาชิกสภาฯ 11 คน จาก 12 คนที่จำเป็นต่อการผ่านมตินี้ เข้าไปหารือที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว
“หลังจากการพูดคุยกันสั้น ๆ พวกเขาทั้งหมดตกลงที่จะลงคะแนนเสียงเห็นชอบในระเบียบวาระดังกล่าวในเช้าวันพรุ่งนี้” ทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตน
เดิมที พรรครีพับลิกันในสภาฯ ได้ประกาศให้สัปดาห์นี้เป็น “สัปดาห์คริปโทฯ” (Crypto Week) เพื่อผลักดันกฎหมายหลายฉบับที่มุ่งสร้างความชัดเจนและมอบความชอบธรรมให้แก่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล
แต่เหตุที่การลงมติครั้งแรกกลับล้มเหลว ก็เพราะมีสมาชิกพรรครีพับลิกันสายอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่ง ไม่พอใจวิธีการที่ผู้นำในสภาฯ นำร่างกฎหมายคริปโทฯ 3 ฉบับมารวมพิจารณาเป็นชุดเดียวกัน พวกเขาจึงหันไปร่วมมือกับพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นฝ่ายค้าน เพื่อสกัดกั้นมติดังกล่าว
ไม่นานหลังจากนั้น ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เขาวางแผนที่จะหารือกับสมาชิกต่อไปและหวังว่าจะมีการลงมติใหม่อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้
ข่าวความพ่ายแพ้ในการลงมติครั้งแรกส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ อย่าง Circle และ Coinbase ร่วงลง ก่อนดีดตัวกลับขึ้นมาได้บ้างหลังจากมีข่าวการเข้าแทรกแซงของทรัมป์
สำหรับกฎหมายที่กำลังพิจารณานั้น ฉบับที่สำคัญที่สุดคือการวางกรอบกำกับดูแล “สเตเบิลคอยน์” (Stablecoin) ซึ่งเป็นคริปโทฯ ประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาให้มีมูลค่าคงที่ โดยมักจะผูกไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1 ต่อ 1
กลุ่มนักลงทุนคริปโทฯ มักใช้สเตเบิลคอยน์เป็นสื่อกลางในการโยกย้ายเงินทุนระหว่างเหรียญต่าง ๆ บรรดาผู้สนับสนุนเชื่อว่า ในอนาคต เราอาจใช้สเตเบิลคอยน์เพื่อการชำระเงินได้ทันทีเหมือนเงินปกติ
นอกจากนี้ ยังมีร่างกฎหมายอีกฉบับที่จะกำหนดนิยามให้ชัดเจนว่า คริปโทฯ ประเภทใดถือเป็น “สินค้าโภคภัณฑ์” ซึ่งหากกฎหมายสองฉบับนี้ผ่านไปได้ จะถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมคริปโทฯ
ขณะเดียวกัน สภาฯ ยังเตรียมพิจารณาร่างกฎหมายที่ห้ามไม่ให้สหรัฐฯ ออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง เนื่องจากฝ่ายรีพับลิกันกังวลว่ารัฐบาลอาจมีอำนาจควบคุมการเงินส่วนบุคคลของประชาชนได้มากเกินไป อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายนี้ยังไม่ถูกนำไปพิจารณาในวุฒิสภา และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็ยังไม่ได้แสดงความต้องการที่จะพัฒนาเงินดิจิทัลดังกล่าวแต่อย่างใด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ค. 68)