
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (21 ก.ค.) ศาลสูงสุดของบราซิลขู่จะเข้าจับกุมอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู พร้อมให้เวลาทนายความ 24 ชั่วโมงในการชี้แจงเหตุผลที่เขาละเมิดคำสั่งศาลซึ่งห้ามใช้โซเชียลมีเดีย
คำสั่งดังกล่าวมาจากผู้พิพากษาอเล็กซานเดร เดอ โมราเอส ซึ่งเป็นผู้ดูแลคดีที่กล่าวหาว่าโบลโซนารูวางแผนก่อรัฐประหาร โดยการตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากโบลโซนารูได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในช่วงเช้าวันเดียวกัน ซึ่งผู้พิพากษาพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อจำกัดที่กำหนดไว้
การเผชิญหน้าทางกฎหมายครั้งนี้เป็นที่จับตามองจากนานาชาติ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เรียกคำสั่งศาลนี้ว่าเป็น “การล่าแม่มดทางการเมือง” และได้ตอบโต้เมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) ด้วยการเพิกถอนวีซ่าสหรัฐฯ ของ “ผู้พิพากษาโมราเอสและพันธมิตรของเขาในศาล รวมถึงคนใกล้ชิดในครอบครัว”
ประเด็นขัดแย้งนี้สืบเนื่องจากคำวินิจฉัยเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ซึ่งผู้พิพากษาโมราเอสสั่งให้โบลโซนารูสวมกำไลข้อเท้าและห้ามใช้โซเชียลมีเดีย โดยเมื่อวันจันทร์ โบลโซนารูได้ปรากฏตัวพร้อมกำไลข้อเท้าต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับพันธมิตรทางการเมืองที่รัฐสภาบราซิล
ในคำตัดสินของเขา ผู้พิพากษาโมราเอสได้แนบภาพถ่ายหน้าจอจากสำนักข่าวและโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโบลโซนารู “กำลังโชว์อุปกรณ์ติดตามอิเล็กทรอนิกส์ และกล่าวถ้อยแถลงเพื่อนำไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มดิจิทัล”
ก่อนหน้านี้ ผู้พิพากษาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า คำสั่งห้ามใช้โซเชียลมีเดียนั้นครอบคลุมถึงการใช้งานผ่านบุคคลที่สามด้วย โดยระบุว่า “ห้ามมิให้มีการถ่ายทอด เผยแพร่ซ้ำ หรือเผยแพร่เสียง วิดีโอ หรือบทถอดเสียงจากการสัมภาษณ์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของบุคคลที่สามใด ๆ ทั้งสิ้น”
เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงทางกฎหมายในบราซิลถึงขอบเขตของคำสั่งศาลดังกล่าว โดยบางส่วนแสดงความเห็นว่าการให้สัมภาษณ์ยังสามารถทำได้ ขณะที่บางส่วนเชื่อว่า อดีตประธานาธิบดีกำลังตกที่นั่งลำบาก และชี้ว่าการให้สัมภาษณ์อาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการเข้าจับกุมได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ค. 68)